เหยื่อวัยเยาว์จากเหตุปะทะ

1989 Tiananmen Square Protests

อภิสิทธิ์ตอแหลจะๆ ชัดเจน ไร้ยางอาย

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

25-07-2010 Red Sunday with Aerobic dance at Lumpini Park


prachatai July 25, 2010
กิจกรรมวันอาทิตย์สีแดงที่สวนลุมพินี 25 ก.ค. 2553
Category:
News & Politics
Tags:
Lumpini Park
วันอาทิตย์สีแดง
เสื้อแดง
นปช

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตอนที่ 96, 4 March 2010 - 10:08 PM

ต้วน คนนี้น่าตาหล่อเหลาเอาการ ตอนเด็กๆ เกือบจะเสียเชิงชายให้กับรัศมีจันทร์ ไปแล้ว ขณะที่รัศมีจันทร์มาอยู่ที่บ้านนนทบุรี แต่เดชะบุญของต้วนที่รอดปากเหยี่ยว ปากกา ของแม่นางมาได้ ต้วน จเรียนจบไฮสคูลจาก Trinity Prepratory School ที่ตั้งอยู่ใจกลาง Winter Park Orando Area ที่ Florida

ระหว่างเรียนที่นี่ ต้วน เป็นนักกีฬาของโรงเรียน ไปแข่งในนาม TPS ได้เหรียญรางวัลสร้างชื่อเสียง ให้กับตัวเอง และโรงเรียน หลังจากนั้น ต้วนไปสำเร็จการศึกษาที่ Aerospace Engineering จาก University of Miami ไม่ไกลไปจาก Coral Gable ขณะนี้ต้วนทำงานเป็น วิศวะกรด้านเครื่องบินที่รัฐคอนเน็คติคัต และทีสำคัญเร็วๆ นี้ ต้วน กำลังใกล้จะเข้าพิธีวิวาห์กับสาวสวยรายหนึ่ง



ต้น เรียนจบที่ไฮสคูลที่เดียวกันกับพี่ชาย และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จาก Stetson College of Law เมือปี 2549 และเขาได้ไปเรียนเพิ่มเติมที่ The George Washington University Law School

ปัจจุบันทำงานเป็นทีมงานกฏหมาย ว่าความที่ บริษัท แมนีย์ แอนด์ กอร์ดอน และ ไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยเก่าแก่อย่าง ซอร์บอนน์น ย่าน Quartier Latin ใจกลางกรุง ปาริส ประเทศ ฝรั่งเศส ต้นมีความสามารถที่เชี่ยวชาญใน ภาษา ฝรั่งเศส เป็นอย่างมาก



ต๋อง ตอนนี้จบจาก College of Arts and Science ที่ U Miami ค่ะ สาขาจิตวิทยา คนหน้าตายไม่เหมือนพ่อ เหมือนแม่ คนที่รับปริญญาพร้อมลูกสาว เสธ ดำ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และชอบเล่นดนตรี ตอนนี้ยามว่างก็ไปป็นนักร้องตามผับด้วย เมือ่ 3-4 ปีก่อนก็เคยมาเปิดการแสดงสดที่ออสเตรเลีย เพราะเขามีญาตอยู่ที่นี่ด้วย



ติน ตอนนี้เรียนอยู่ที่ ศึกษาอยู่ที่ Stetson College of Law คาดว่าน่าจะเรียนจบภายในปีนี้ ตินเคยไปเช่าหอที่แถวๆ Gulfport FL ที่แห่งนั้น ซุซี่ก็เคยไปเยี่ยมหลานของเธอด้วย เด็กคนนี้ป้าปากแดงรักนักรักหนา

[New post] ยื่นฟ้องมา ร์ค-13 บิ๊ก 10 เมย.เลือด




ยื่นฟ้องมา ร์ค-13 บิ๊ก 10 เมย.เลือด


ใช้อาวุธสลายม็อบ แดง รบ.ญี่ปุ่นจี้คดีฆ่านักข่าว


คดี 10 เม.ย. - ทนายความโชว์ภาพนายบดินทร์ วัชโรบล ที่ถูกทหารยิงบาดเจ็บ และมอบอำนาจให้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ให้ดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวก 13 คน ข้อหาพยายามฆ่าในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.

นักข่าวอิสระยื่นฟ้องรูดทั้ง "มาร์ค-เทือก-ประ วิตร-ป๊อก" รวมทั้งทีมงานศอฉ.รวม 13 คน ข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกาย เผยเข้าไปถ่ายรูปทำข่าวเหตุการณ์สลายม็อบที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 10 เม.ย. โดนทหารยิงเข้าท้องสาหัสขณะกำลังเข้าไปช่วยทหารที่บาดเจ็บ ตอนนี้หัวกระสุนยังฝังในลำไส้ ผ่าตัดออกไม่ได้ ระบุทหารใช้อาวุธสงคราม-รถถัง-ฮ.เข้าสลายม็อบ ไม่ใช่ตามหลักสากล ทำให้มีคนตายจำนวนมาก ทนายยันมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายเหตุการณ์ ระบุจะมีเหยื่อทยอยเข้าฟ้องศาลอีก 30 ราย รัฐบาลญี่ปุ่นจี้รัฐบาลไทยแจงผลสอบคดีนักข่าวยุ่นสังกัดรอยเตอร์ถูกยิงตาย ที่คอกวัว เพราะ 3 เดือนแล้วคดีไม่คืบ องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนก็จี้เปิดรายงานสอบคดีนักข่าวอิตาลีถูกยิงตาย เช่นกัน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 ก.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายบดินทร์ วัชโรบล ผู้สื่อข่าวอิสระ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.), พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลา โหม, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ., พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ., พ.อ.สรร เสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ., นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1, พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ., พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.2 รอ.), พ.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้บังคับการ ร.21 รอ., พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิ์เดช ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 12 (ร.12 พัน 2) และพ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ ผบ.ม.พัน 3 รอ. เป็นจำเลยที่ 1-13 ในความผิดฐานพยายามฆ่า และทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289

ตามฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 จำเลยที่ 1 และผู้ที่เกี่ยวข้องสั่งการให้ใช้กำลังทหาร พร้อมอาวุธยุทธภัณฑ์ เข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันบริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้าฯ โดยมีอาวุธปืนและกระสุนจริงในการปฏิบัติการ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งโจทก์เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะทำหน้าที่บันทึกภาพอยู่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยระหว่างเหตุการณ์ สลายการชุมนุม ถูกทหารใช้อาวุธและกระสุนจริง ยิงเข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งปัจจุบันกระสุนปืนยังฝังอยู่ในร่างกาย ไม่สามารถผ่าตัดนำกระสุนออกมาได้ โดยศาลรับเป็นคดีหมายเลขดำที่อ.2267/2553 นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 13 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

นายอุดมกล่าวว่า นายบดินทร์ต้องการใช้สิทธิ์ทางศาล เพื่อฟ้องดำเนินคดีเอง เพราะก่อนหน้านี้เคยเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง แล้วเป็นเวลากว่า 3 เดือน ไม่มีความคืบหน้า ทั้งนี้ นายบดินทร์ยืนยันว่าเห็นทหารใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงยิงเข้าใส่ประชาชนจน ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งเหตุที่นายบดินทร์ถูกกระสุนยิงใส่เพราะเข้าไปช่วยเหลือทหารที่นอนได้รับ บาดเจ็บ โดยนายบดินทร์ต้องการให้พิสูจน์ความจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยกระบวนการ ยุติธรรมว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจากการใช้อาวุธสงครามเข้าสลายชุมนุม อย่างไรก็ดี ขณะนี้นายบดินทร์มาพักอยู่ที่บ้านแล้วกระสุนยังฝังอยู่ในลำไส้เล็กผ่าตัดออก ไม่ได้

นายอุดมกล่าวอีกว่า สัปดาห์หน้าจะทยอยยื่นฟ้องอีก เนื่องจากขณะนี้รวบรวมหลักฐานเพิ่มโดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกประมาณ 30 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ให้ข้อมูลร้องเรียนพรรคเพื่อไทย แต่ทั้งนี้ยืนยันการทำหน้าที่ยื่นฟ้องไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ส่วนการยื่นฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายนั้นก็จะพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องตนเตรียมซีดีที่บันทึกภาพเหตุการณ์ และใบรับรองแพทย์เสนอต่อศาลด้วย นายอุดมกล่าวว่า ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 13 ก.ย.นี้ ตนจะนำพยานบุคคลจำนวน 10 ปากขึ้นให้การต่อศาล เพื่อแสดงให้เห็นว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์ และพวก เป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ มีการใช้อาวุธหนัก เช่น ปืนกระสุนสายพาน รถถัง และเฮลิคอปเตอร์ ถึงนายกฯ จะใช้คำพูดสวยหรูว่าเป็นการขอคืนพื้นที่ แต่ประชาชนก็รู้ๆ กันอยู่ว่าคือการสลายการชุมนุมนั่นเอง

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความมั่น ใจในการดำเนินคดี นายอุดมกล่าวว่า อยากให้ดูเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เข้าไปปิดล้อมอาคารรัฐสภาแล้วถูกตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมจนมีผู้เสีย ชีวิต 1 ราย ถึงแม้ภายหลังจะมีการพิสูจน์ได้ว่าเสียชีวิตจากระเบิดปิงปอง แต่ทาง ป.ป.ช.ก็ยังชี้มูลความผิดต่อผบ.ตร.และผบช.น. ในสมัยนั้น แต่ครั้งนี้ลูกความตนมีทั้งภาพถ่ายและภาพวิดีโอที่สามารถแสดงให้เห็นชัดเจน ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักสากลของการสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก และคู่มือราชการสนามของกองทัพบก เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุม ผู้ชุมนุมก็ต้องป้องกันตัว ซึ่งผู้ชุมนุมมีแค่เสาธง แต่เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืน

นายอุดมกล่าวต่อว่า สำหรับนายบดินทร์ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมด้วย แต่ไปสังเกตการณ์ เป็น ผู้สื่อข่าวอิสระ โดยถ่ายภาพเหตุการณ์การชุมนุมอยู่บริเวณข้างโรงเรียนสตรีวิทยา ถูกยิงขณะ กำลังจะเข้าไปให้การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่กลางถนน แต่กลับถูกทหารที่ตั้งแถวอยู่ห่างออกไปยิงใส่ กระสุนถูกบริเวณท้องและไปฝังอยู่ข้างลำไส้เล็ก แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดเอากระสุนออกให้ได้ ต้องปล่อยเอาไว้อย่างนั้น ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมาน ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ

วันเดียวกัน เอเอฟพีรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นทวงถามความคืบหน้ากับประเทศไทยกรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น สังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์ วัย 43 ปี ที่ถูกมือปืนไม่ทราบฝ่ายยิงเข้าที่หน้าอกในระหว่างทำข่าวการชุมนุมประท้วง ของกลุ่มคนเสื้อแดงปะทะกับทหารในกรุงเทพฯ หลังจากเรื่องผ่านมาแล้ว 3 เดือน

นายฮิเดโนบุ โซบาชิมะ รองเลขาธิการฝ่ายสื่อมวลชนของญี่ปุ่น กล่าวในที่ประชุมด้านความมั่นคงอาเซียนที่เวียดนามว่า เราหวังว่าจะได้รับข้อมูลความคืบหน้าในเร็ววันนี้ ญี่ปุ่นเข้าใจรัฐบาลไทยว่าจะทำเท่าที่ทำได้ แต่คาดว่าในการพบกันระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของสองฝ่าย ไทยจะแสดงความเอาใจใส่ประเด็นนี้อีกครั้ง

ด้านองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนออกรายงานในเดือนนี้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทยเผยแพร่รายงานฉบับ สมบูรณ์เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายมูราโมโตะ และนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลี สองช่างภาพชาวต่างชาติที่ถูกสังหารในระหว่างเหตุการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนเม.ย.และพ.ค. ให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ โดยในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารและกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่10 เม.ย. มีผู้บาดเจ็บ 90 คน ในจำนวนนี้เป็นสื่อมวลชน 10 คน

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7176 ข่าวสดรายวัน


Add a comment to this post


WordPress

WordPress.com | Thanks for flying with WordPress!
Manage Subscriptions | One-click Unsubscribe | Publish text, photos, music, and videos by email using our Post by Email feature.

Trouble clicking? Copy and paste this URL into your browser: http://subscribe.wordpress.com




--
http://www.prachataiboard1.info/board/id/50088
http://hotspotshield.com
http://99it.blogspot.com/p/blog-page_21.html
http://www.redshirtinternational.org
http://norporchorusa.com/html/media/npcusa_radios.html
http://www.unblockanything.com
http://www.youtube.com/watch?v=Dyw-L8JSE2U
http://sanamluang.tv
http://thaitvnews2.blogspot.com
http://112victims.org
http://nonlaw.7forum.net/forum-f1/topic-t1169.htm

เปิดบทคัดย่อสมุดปกขาว "การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ: ข้อเรียกร้องหาการรับผิด"

เปิดบทคัดย่อสมุดปกขาว “การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ: ข้อเรียกร้องหาการรับผิด”

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : ข้อเรียกร้องต่อการแสดงความรับผิดชอบ
ภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีภาระหน้าที่ในการนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff

บทคัดย่อ/ คำนำ

บทที่ 1 บทนำ

เป็นเวลากว่า 4 ปีที่ประชาชนชาวไทยตกเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ สิทธิดังกล่าวคือสิทธิในการกำหนดทางเลือกของตนโดยผ่านการเลือกตั้งอย่างแท้จริงที่ดำรงอยู่บนฐานของเจตจำนงของประชาชน การโจมตีระบอบประชาธิปไตยเริ่มขึ้นด้วยการวางแผนและลงมือกระทำการรัฐประหารโดยทหารเมื่อปี 2549 ด้วยความร่วมมือกับสมาชิกองคมนตรี ผู้บัญชาการทหาร ของไทยล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งชนะการเลือกตั้งมาถึง 3 สมัยติดต่อกัน ทั้งในปี 2544, 2548 และ 2549 ระบอบที่การรัฐประหารตั้งขึ้นได้เข้าควบคุมหน่วยงานต่างๆของรัฐบาล ยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิทางการเมืองของแกนนำพรรคเป็นเวลา 5 ปี การที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ด้วยเหตุผลเดียวนั่นก็คือเพราะพรรคการเมืองต่างๆที่ชนะการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยตลอดการเลือกตั้งสี่ครั้งที่ผ่านมาถูกยุบไป

การรัฐประหารในปี 2549 ถือเป็นการเริ่มต้นในการพยายามที่จะฟื้นฟูอำนาจนำของกลุ่มทุนเก่า นายทหารระดับสูง ข้าราชการระดับสูง และกลุ่มองคมนตรี ซึ่งจะขอรวมเรียกว่าเป็น “กลุ่มอำนาจเก่า” ซึ่งการฟื้นฟูระบอบที่กลุ่มอำนาจเก่าต้องการนั้นจะสำเร็จได้ก็ต้องทำลายพรรคไทยรักไทยเป็นอันดับแรก เพราะพรรคไทยรักไทยเป็นพลังทางการเลือกตั้งที่ได้กลายเป็นสิ่งท้าทายอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่าอย่างสำคัญและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และหลังจากนั้นกลุ่มอำนาจเก่าก็ไม่อาจหยุดยั้งการกวาดล้างขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นตามมา

พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดให้มาปกครองประเทศ อันเป็นการไปขัดขวางธรรมเนียมปฏิบัติอันยาวนานที่รัฐบาลผสมที่อ่อนแอจะได้เข้ามารับใช้ตามอำเภอใจของกลุ่มอำนาจเก่า ด้วยการเสริมอำนาจของฐานเสียงที่ถูกเบียดขับไปอยู่ชายขอบของชีวิตทางการเมืองของประเทศมายาวนาน พรรคไทยรักไทยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้พรรคฯ รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องสยบยอมมอบอำนาจใดๆ ที่รัฐธรรมนูญได้มีให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งแก่พวกกลุ่มอำนาจเก่า การบริหารจัดการของพรรคฯ จึงเป็นไปเพื่อยืนยันการควบคุมกระบวนการกำหนดนโยบาย การให้ทหารอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน และการทำลายเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ที่สมาชิกอันทรงอำนาจของคณะองคมนตรีได้ใช้อิทธิพลของตนเหนือข้าราชการ ระบบตุลาการ และกองกำลังทหาร ทั้งสองด้านของนโยบายเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน (dual track) ที่รัฐบาลไทยรักไทยได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีเสียงข้างมากในสภานั้น ยิ่งทำให้บรรดานักธุรกิจชั้นนำในกรุงเทพฯ ถอนการสนับสนุนทักษิณ ในขณะที่นโยบายเปิดตลาดเสรีของพรรคไทยรักไทยได้ทำให้กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่อิงกลุ่มอำนาจเก่าต้องมีการแข่งขันมากขึ้น ความนิยมที่มีต่อโครงการต่างๆ ที่ตอบสนองต่อความจำเป็นของเกษตรกรในต่างจังหวัดและคนจนเมืองก็ทำให้รัฐบาลยืนหยัดต่อแรงกดดันที่มาจากกลุ่มตัวละครหลักๆ ของกลุ่มอำนาจเก่าไว้ได้

เมื่อไม่สามารถจะขจัดหรือบั่นทอนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ด้วยวิธีใดๆ ทหารจึงใช้ยุทธวิธีในการยกขบวนรถถังและกองกำลังพิเศษเข้ามาทวงประเทศคืนจากตัวแทนของประชาชน

หลังจากการรัฐประหารเป็นต้นมา พวกกลุ่มอำนาจเก่าก็ได้พยายามที่จะรวบรวมอำนาจทางการเมืองของตน ในขณะเดียวกันก็ถอยไปซ่อนตัวอยู่หลังฉากที่สร้างภาพว่าเป็นประชาธิปไตยแบบมีรัฐธรรมนูญ กลุ่มอำนาจเก่าได้ใช้การรณรงค์อย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อกำจัดพรรคไทยรักไทยออกจากพื้นที่ทางการเมืองไทย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะกลับไปสู่การมีรัฐบาลอ่อนแอที่ยอมรับใช้ผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจเก่า เมื่อแผนนี้ไม่สำเร็จ กลุ่มอำนาจเก่าจึงต้องหันไปพึ่งฝ่ายตุลาการที่ถูกทำให้เข้ามามีส่วนพัวพันทางการเมืองอย่างมาก และได้รับอำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ. 2550 ให้สามารถล้มผลการเลือกตั้งที่ดำเนินอย่างเสรีได้ เพียงเพื่อทำให้การกำจัดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นดูเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ด้วยการครอบงำศาล และด้วยความสำเร็จบางส่วนในการทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐบาลผสมของทักษิณอ่อนแอลง และด้วยความวุ่นวายที่ก่อโดยกลุ่มการเมืองนอกรัฐสภาอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กลุ่มอำนาจเก่าก็สามารถทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ทว่าหลังจากนั้นรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ถูกกดดันให้ต้องใช้มาตรการกดขี่เพื่อรักษาฐานอำนาจอันไม่ชอบธรรมและปราบปรามการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ก่อตัวขึ้นเพื่อตอบโต้การรัฐประหารโดยทหารเมื่อปี 2549 และการรัฐประหารโดยศาลในปี 2551 หนึ่งในวิธีการกดขี่ก็คือการที่รัฐบาลได้บล็อกเวปไซท์ประมาณ 50,000 เวป ปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล และกักขังคนจำนวนหนึ่งภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพอันเลื่องชื่อของไทย และภายใต้พ.ร.บ.การกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ที่โหดร้ายพอๆ กัน เมื่อเผชิญกับการชุมนุมประท้วงโดยมวลชนที่ท้าทายอำนาจของรัฐบาล รัฐบาลก็ได้เชื้อเชิญให้กองทัพเข้ามาจัดการ และได้ระงับเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยการนำพ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร พร้อมทั้งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งเข้มงวดยิ่งกว่ามาใช้ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553 เป็นต้นมา รัฐบาลทหารชุดใหม่ของประเทศในนามของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เข้ามาปกครองประเทศโดยไม่มีมาตรการตรวจสอบความรับผิดใดๆ ภายใต้การประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ที่ถูกประกาศอย่างไม่เหมาะสม ถูกนำมาบังคับใช้อย่างไม่สอดคล้องกับความรุนแรงของสถานการณ์ และใช้อย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีกำหนดเพื่อที่จะปิดปากการคัดค้านใดๆ ที่มีต่อรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นี่เป็นอีกครั้งที่กลุ่มอำนาจเก่าไม่อาจปฏิเสธข้อเรียกร้องเพื่อการปกครองตนเองของประชาชนชาวไทยได้โดยไม่ต้องหันไปหาระบอบเผด็จการทหาร

ในเดือนมีนาคม 2553 เกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ โดยกลุ่มคนเสื้อแดง หรือที่เรียกว่า “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) การชุมนุมของคนเสื้อแดงดำเนินมาจนถึงวันที่ 66 ในวันที่ 19 พฤษภาคม เมื่อรถหุ้มเกราะบดขยี้แนวกั้นที่ทำขึ้นชั่วคราวรอบสี่แยกราชประสงค์ในกรุงเทพฯ และทะลวงค่ายประท้วงของคนเสื้อแดง หลายสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 10 เมษายน กองกำลังทหารพยายามสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าแต่ล้มเหลว ยังผลให้มีผู้เสียชีวิต 27 ราย และในการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ระหว่างวันที่ 13 -19 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 55 ราย เมื่อต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แกนนำนปช. ได้ประกาศยุติการชุมนุมและยอมมอบตัวกับตำรวจ

พยานนับร้อยๆ คน และวิดีโอคลิปพันๆ คลิป ได้บันทึกการใช้กระสุนจริงอย่างเป็นระบบโดยกองกำลังฝ่ายความมั่นคงของไทยต่อพลเรือนที่ไร้อาวุธ รวมถึงนักข่าวและเจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ฉุกเฉินในเดือนเมษายนและพฤษภาคม นับถึงเวลาที่บริเวณที่ชุมนุมได้ถูกเคลียร์เรียบร้อย อาคารพาณิชย์สำคัญๆ สองสามแห่งยังคงมีควันกรุ่น มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 80 คน และผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำการชุมนุมมากกว่า 50 คนอาจเผชิญกับโทษประหารชีวิตจากข้อหา “ก่อการร้าย” ผู้ชุมนุมหลายร้อยคนยังคงถูกควบคุมตัวข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งรัฐบาลไทยนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำให้การชุมนุมทางการเมืองที่ชอบธรรมกลับกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังมีการออกหมายจับจำนวนสูงถึงแปดร้อยหมาย และทางการยังได้สั่งแช่แข็งบัญชีธนาคารของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมขบวนการและอาจเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแก่นปช.อีกอย่างน้อย 83 ราย ที่น่าสลดใจก็คือ แกนนำคนเสื้อแดงในท้องถิ่นต่างๆ ได้ถูกลอบสังหารในชลบุรี นครราชสีมา และปทุมธานี

ท่ามกลางเหตุการณ์ที่น่าสลดอันเป็นจุดสูงสุดของโครงการสี่ปีในการโค่นเจตนารมย์ของประชาชนเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของกลุ่มอำนาจเก่า สมุดปกขาวเล่มนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้

วัตถุประสงค์ข้อแรกคือเพื่อเน้นถึงพันธกรณีของประไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ และพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) ในการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง รวมถึงต้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนซึ่งอยู่ภายใต้สายการบังคับบัญชาสำหรับอาชญากรรมอย่างการสังหารพลเรือนกว่า 80 รายโดยพลการและตามอำเภอใจในกรุงเทพฯ ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมด้วย ข้อเท็จจริงต่างๆ ปรากฏอย่างชัดเจนว่ามีการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยการใช้กองกำลังทหารอย่างเกินความจำเป็น การกักขังโดยพลการต่อเนื่องเป็นเวลานาน และการทำให้ประชาชนบางส่วนหายสาบสูญ และยังมีระบบการประหัตประหารทางการเมืองที่ปฏิเสธเสรีภาพในการมีส่วนร่วมทางการเมืองและในการแสดงออกของพลเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มีหลักฐานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเพียงพอที่จะดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงอย่างเป็นอิสระและเป็นกลาง เพื่อที่ผู้ที่กระทำความผิดกฎหมายอาญาระหว่างประเทศจะถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จากประวัติศาสตร์ความเป็นปรปักษ์ต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้เป็นการสมเหตุสมผลที่จะยืนยันให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ อย่างเหมาะสม ด้วยหน่วยงานที่เป็นกลางและเป็นอิสระ เพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบต้องการละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนดังกล่าวจะต้องรับผิดตามที่กำหนดโดยกฎหมายระหว่างประเทศ

เป้าหมายประการที่สองเกี่ยวข้องกับพันธกรณีของประเทศไทยในการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นในด้านสิทธิทางการเมือง หลังจากการรัฐประหารในปี 2549 และในระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลที่มีทหารหนุนหลังพยายามที่จะรวบรวมอำนาจของตนโดยการกดขี่ปราบปรามการคัดค้านทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง มาตรการประการหนึ่งก็คือ การปราบปรามขบวนการเคลื่อนไหวนั้นโดยมีการประทุษร้ายประชาชนพลเรือนที่ไร้อาวุธอย่างเป็นระบบและอย่างเป็นวงกว้าง ซึ่งอาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศซึ่งกำหนดให้จัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศในกรุงเฮกอีกด้วย แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรมฯ แต่การกระทำผิดต่อกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างร้ายแรงนี้ก็อาจจะเป็นเหตุเพียงพอให้ได้รับการพิจารณาให้เข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศได้หากเป็นการดำเนินการโดยรู้ถึงการกระทำนั้นภายใต้นโยบายที่ยอมให้เกิดหรือสนับสนุนให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิตโดยไม่จำเป็น หรือเป็นนโยบายที่มีเป้าหมายเพื่อโจมตีกลุ่มทางการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง มีหลักฐานมากมายที่ชี้ว่าแผนต่อต้านคนเสื้อแดงที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลา 4 ปีและที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันภายใต้นโยบายที่รับรองโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ และการสังหารหมู่คนเสื้อแดงที่เพิ่งผ่านมาก็เป็นเพียงการปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวครั้งล่าสุดเท่านั้น

สมุดปกขาวเล่มนี้ศึกษาการเกิดขึ้นของความรุนแรงในประเทศไทย รวมถึงการปฏิบัติการทางทหารในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2553 รวมทั้งการปราบปรามในเดือนเมษายนปี 2552 ที่มีประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน จากแง่มุมของหลักประกันตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หลักฐานต่างๆ นั้นเพียงพอต่อการสืบสวนโดยหน่วยงานที่เป็นอิสระและเป็นกลางถึงนัยยะทางอาญาของการประหัตประหารทางการเมืองเช่นนี้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

วัตถุประสงค์ประการที่สามของสมุดปกขาวเล่มนี้คือเพื่อยืนยันถึงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศของสมาชิกนปช.หลายร้อยคนที่กำลังเผชิญข้อกล่าวหาทางอาญาจากการเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองรับรองสิทธิในการต่อสู้ดคีอย่างยุติธรรม รวมถึงสิทธิที่จะเลือกทนายของตนเอง เพื่อเตรียมการต่อสู้คดีโดยมีเวลาและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเพียงพอ และสิทธิในการสามารถเข้าถึงหลักฐานได้อย่างเท่าเทียม [1] ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิในการตรวจสอบหลักฐานอย่างอิสระผ่านทางผู้เชี่ยวชาญหรือทนายของตนเอง ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับรัฐบาล และมีสิทธิในการเรียกพยานหลักฐานฝ่ายตนเพื่อแก้ต่างให้ตนเองได้ [2] เพื่อเป็นการตอบสนองต่อข้อประท้วงของนานาชาติเกี่ยวกับความรุนแรงในเดือนเมษายนและพฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศโร้ดแมปเพื่อการปรองดองและได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาอย่างเป็นทางการ สิ่งที่หายไปจากโร้ดแมปของอภิสิทธิ์ก็คือ ความเป็นอิสระและความเป็นกลางอย่างแท้จริงในกระบวนการตรวจสอบตัวเอง นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ที่ได้รบแต่งตั้งให้นำคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ได้บอกกับสื่อมวลชนในเกือบจะในทันทีทันใดว่าเขาสนใจในการ “ส่งเสริมการให้อภัย” มากกว่าการเรียนรู้ข้อเท็จจริง [3] การละเลยเช่นนี้อาจจะสอดคล้องกับแนวความคิดเรื่องการปรองดองแบบเดิมๆ ของไทย ที่ให้นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่สังหารผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2516, 2519 และ 2535 หลายร้อยคน แต่ไม่ทำอะไรกับการสืบหาข้อเท็จจริงหรือส่งเสริมการสมานฉันท์ที่แท้จริงเลย

ปัจจัยหลายอย่างได้ชี้ให้เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องมีการเข้ามาเกี่ยวข้องจากประชาคมโลก เพื่อรักษาการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นทุกกรณีอย่างเป็นอิสระและเป็นกลาง ประการแรก รัฐบาลไม่มีทีท่าจะยอมอ่อนข้อในการยึดอำนาจทางการเมือง โดยการให้ผู้นำทหารและพลเรือนถูกดำเนินคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ประการที่สอง การกักขังที่ยาวนานและการไม่สนใจที่จะดำเนินคดีอย่างเป็นธรรมต่อคนเสื้อแดงหลายร้อยคนที่ถูกรัฐบาลตัดสินไปล่วงหน้าแล้วว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” นั้นทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมของการสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้ ประการที่สาม คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของอภิสิทธิ์ทำงานรับใช้ความต้องการของนายกรัฐมนตรี และไม่มีหน้าที่ที่ชัดเจนในการสืบสวนหรือดำเนินคดีกับรัฐบาล ส่วนความสามารถในการค้นหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมการก็ถูกขัดขวางโดยกฎระเบียบต่างๆ ที่ออกภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ถูกเหมือนจะยังคงมีผลในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของการดำเนินการของคณะกรรมการ ประการสุดท้าย การวิเคราะห์หลักฐานของรัฐบาลไทยนั้นมีแนวโน้มจะโอนเอียงและเชื่อถือไม่ได้เช่นที่มักจะเป็นในทุกครั้งที่รัฐบาลต้องทำการตรวจสอบการกระทำผิดของตัวเอง การที่รัฐบาลยึดมั่นกับผู้สืบสวนที่เลือกมาจากฐานของการถือข้างมากกว่าจากฐานของความเชี่ยวชาญทำให้กระบวนการไต่สวนทั้งหมดมีมลทิน การสืบสวนข้อเท็จจริงที่มีอคติ ไม่เป็นกลาง และตอบสนองผลประโยชน์ของรัฐบาลทหารนั้นก็เท่ากับไม่มีการสืบสวนเลย

ทุกคนย่อมยอมรับความจริงที่ว่าประเทศไทยควรจะก้าวให้พ้นความรุนแรง และดำเนินการให้เกิดความปรองดอง ทว่าความปรองดองนั้นจำเป็นต้องเริ่มด้วยการฟื้นคืนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการปกครองตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นความปรองดองนี้ยังต้องการความรับผิดอย่างเต็มที่ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่กระทำไปเพื่อยับยั้งสิทธิในการปกครองตนเองนั้น กฎหมายระหว่างประเทศกำหนดไว้ว่าไม่อาจยอมรับสิ่งที่น้อยไปกว่านี้ได้

000



บทที่ 2 เส้นทางไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย



ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบ “ประชาธิปไตย” มาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบภายใต้รัฐธรรมนูญเมื่อปีพ.ศ. 2475 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในความจริง นอกจากช่วงเวลาที่เป็นเผด็จการทหารอย่างรุนแรงในระหว่างปี พ.ศ. 2501- 2512 แล้ว ประเทศไทยมีการเลือกตั้งฝ่ายนิติบัญญัติเป็นประจำมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ทว่า อำนาจมักจะถูกเปลี่ยนมือด้วยการรัฐประหารโดยทหารมากกว่าด้วยกระบวนการตามรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และจะมีการนำรัฐธรรมนูญฉบับที่สนับสนุนโดยทหารและรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยทหารเข้ามาบังคับใช้แทนที่รัฐธรรมนูญและรัฐบาลของช่วงเวลานั้น รัฐธรรมนูญในช่วงหลังมักจะถูกร่างขึ้นเพื่อรักษาการควบคุมของกลุ่มที่ก่อการรัฐประหาร ไม่ว่าผู้ก่อการจะตั้งใจใช้อำนาจโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านทางการให้ตัวแทนหรือการเข้าควบคุมจัดการรัฐบาลพลเรือนที่อ่อนแอ การจัดการเช่นนี้จะยังคงมีผลบังคับใช้ไปจนกว่าจะมีกลุ่มทหารกลุ่มอื่นทำรัฐประหารครั้งใหม่ และนำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้สมดุลย์อำนาจใหม่ได้รับการรับรองในกฎหมายขึ้นมาใช้ [4] วิธีปฏิบัติเช่นนี้ดำเนินเรื่อยมา ผ่านทางการรัฐประหารโดยทหารที่สำเร็จ 11 ครั้ง รัฐธรรมนูญ 14 ฉบับ และแผนการและปฏิบัติการล้มล้างรัฐบาลที่ไม่สำเร็จอีกหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2475 มาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2535

ตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ ประเทศไทยมีช่วง “ประชาธิปไตย” สั้นๆ เพียงสามครั้งที่หยั่งรากอยู่ในเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแข่งขันในการเลือกตั้งอย่างแท้จริง โดยครั้งแรกคือหลังจากการใช้รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2489 และครั้งที่สองคือหลังจากการประท้วงใหญ่ในปี 2516 ครั้งที่สามคือหลังการเลือกตั้งที่ได้พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2531 ในทั้งสามครั้งนี้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกล้มล้างด้วยกระบอกปืนของกองกำลังทหาร และถูกแทนที่ด้วยระบอบที่เหมาะสมกับการคุ้มครองอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่าและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของพวกเขามากกว่า

นอกจากช่วงเวลาสั้นๆ เหล่านั้นแล้ว ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาถูกปกครองโดยระบอบที่มีส่วนผสมของประชาธิปไตยและเผด็จการแตกต่างกันไป สิ่งที่ทุกระบอบมีเหมือนกันก็คือ เครือข่ายของเจ้าหน้าที่รัฐในราชการพลเรือนและทหาร หรือที่เรียกว่ากลุ่มอำมาตย์ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนขึ้นมา ผู้แทนของประชาชนมีอิสรภาพระดับหนึ่ง และมีมากขึ้นในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา แต่ภายใต้ระบบอำมาตยาธิปไตย (คำที่ใช้เรียกระบบรัฐบาลที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มอำมาตย์ มักจะใช้ในทางตรงข้ามกับ “ประชาธิปไตย”) รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่เคยได้รับสิทธิในการกำหนดให้ทหารอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน และเข้าควบคุมกระบวนการกำหนดนโยบายทางทหารได้ ที่จริงแล้ว แนวคิดเรื่อง “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ได้ถูกจัดขึ้นโดยรัฐไทยตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 2500 เป็นต้นมา โดยหมายถึงรูปแบบรัฐบาลที่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่มีการกำหนดข้อจำกัดเข้มงวดเรื่องเสรีภาพของพลเมือง และเรื่องขอบเขตอำนาจที่เจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้งสามารถใช้ได้ ระบบรัฐบาลแบบนี้ที่อยู่บนฐานของการยินยอมอย่างไม่ใยดีของประชากรไทยส่วนใหญ่ ได้รักษาอำนาจของทหาร ข้าราชการ นายทุนขนาดใหญ่ และกลุ่มองคมนตรี (หรือเรียกรวมๆว่า “กลุ่มอำนาจเก่า”) ในการกำหนดนโยบายระดับชาติส่วนใหญ่เอาไว้

เหตุการณ์ต่างๆ หลังจากการยึดอำนาจจากนายกรัฐมนตรีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ โดยกองทัพที่นำโดยพลเอกสุจินดา คราประยูร เมื่อปีพ.ศ. 2533 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องอำนาจนำของกลุ่มอำนาจเก่าที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเหนือระบบการเมืองไทย การประท้วงโดยประชาชนจำนวนมากที่ต่อต้านการขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา หลังจากที่มีการเลือกตั้งที่มีเปลือกนอกว่าเป็น “ประชาธิปไตย” ในเดือนมีนาคม 2535 ได้นำไปสู่การปะทะรุนแรงเป็นประวัติการณ์ระหว่างพลเรือนกับทหารในช่วงวันที่ 17-20 พฤษภาคม ผู้ประท้วงหลายสิบคนที่เรียกร้องให้พลเอกสุจินดาลาออกและนำประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยถูกสังหารโดยโหดร้ายโดยทหารในช่วงระหว่างเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ” ปี 2535 ในท้ายที่สุด พลเอกสุจินดา ได้ลาออกหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ปรากฏพระองค์ต่อสาธารณะ และนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนกันยายน 2535

โศกนาฏกรรมพฤษภาทมิฬทำให้ประเทศเดินเข้าสู่หนทางการเป็น “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อย่างแท้จริง และมีกระบวนการปฏิรูปเป็นเวลานานห้าปี อันสิ้นสุดลงด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างสูงในกระบวนการที่นำไปสู่การออกรัฐธรรมนูญ รวมถึงการที่มีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยอย่างไม่กำกวม รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2540 นี้จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน”

รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2540 นำมาซึ่งยุคใหม่แห่งการเมืองที่ไม่มีการกีดกันในไทย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ผู้แทนของประชาชนเป็นผู้ร่างและรับรองรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นการกำหนดมาจากกลุ่มอำนาจเก่าอย่างแต่เดิม นำไปสู่ยุคแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ความโปร่งใส และการรับผิดตรวจสอบได้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้รับรองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของพลเมือง ซึ่งฉบับก่อนหน้านี้ไม่ได้รองรับ และยังกำหนดกลไกอีกบางประการ รวมถึงเรื่องการเลือกตั้งสภาทั้งสอง ระบบการเลือกตั้งแบบปาร์ตี้ลิสต์เพื่อมาใช้พร้อมกับระบบแบ่งเขตแบบเดิม และตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ออกแบบมาเพื่อรับประกันว่าจะมีรัฐบาลตัวแทนอย่างเต็มที่ และเพื่อสร้างสนามเลือกตั้งที่เท่าเทียมกันสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้ง ในขณะที่ยังรักษาความเป็นธรรมและความซื่อสัตย์เอาไว้ให้ได้ [5] ที่สำคัญก็คือ รัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 นี้ยังห้ามการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการล้มล้างการปกครองแบบประชาธิปไตย และยังห้ามความพยายามใดๆ ในการ “ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้” [6] และยังห้ามทำการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญยกเว้นแต่เป็นไปตามหลักการและวิธีการที่บัญญัติไว้ [7]

รัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 ยังได้สร้างเสถียรภาพทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการรับรองในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและทางการเงินอย่างหนักในประเทศ การส่งออกลดลงและความกังวลเรื่องสถานการณ์ของภาคการเงินทำให้เกิดการไหลออกของทุนขนาดใหญ่อย่างทันที จนเกิดวิกฤตอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงปลายปีพ.ศ. 2540 [8] ในสถานการณ์ที่ประชาชนต่างไม่พอใจรัฐบาลที่ไม่สามารกู้วิกฤติเศรษฐกิจของปะเทศได้ จึงเป็นที่คาดกันว่าอาจจะเกิดการรัฐประหารครั้งที่ 12 อย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ก็ไม่ได้นำไปสู่วิกฤตทางการเมือง ข้อผูกพันมุ่งมั่นของประเทศที่จะเป็นประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงดูเหมือนจะยังคงถูกรักษาไว้ได้ในที่สุด [9]

รัฐธรรมนูญ 2540 ยังกำหนดยุทธศาสตร์ทางการเมืองแบบใหม่ ก่อนหน้านี้พรรคการเมืองที่อ่อนแอและแตกแยกต้องขึ้นอยู่กับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นและเครือข่ายเส้นสายของระบบอุปถัมภ์ ในการระดมพลังสนับสนุนในพื้นที่การเลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศ เนื่องจากพรรคเหล่านั้นมีเนื้อหาเชิงโครงการน้อยมาก และมีภาพลักษณ์ของพรรคไม่ชัดเจน ด้วยระบบตรวจสอบและถ่วงดุลย์ การป้องกันการคอร์รัปชั่น และด้วยบทบัญญัติใหม่ๆ ที่เสริมอำนาจของฝ่ายบริหารโดยการทำให้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งมีความเปราะบางต่อการแปรพรรคน้อยลง รัฐธรรมนูญพ.ศ. 2540 ได้เปิดช่องทางให้เกิดการเติบโตของผู้นำทางการเมืองใหม่ๆ ที่พยายามจะสร้างพรรคการเมืองระดับชาติที่เข้มแข็งที่อยู่บนฐานของวาระนโยบายเชิงโครงการที่ชัดเจน ที่อาจจะเป็นที่สนใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ นี่เป็นบริบทที่ทำให้ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยและนำพรรคไปสู่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งในปี 2544 และ 2548 อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้จินตนารของคนนับล้านๆเป็นจริง และได้มอบปากเสียงให้แก่พลังทางการเมืองที่ปัจจุบันนี้คัดค้านการบริหารปกครองของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างมั่นคง

000

(อ่านต่อ บทที่ 3 การขึ้นสู่อำนาจของพรรคไทยรักไทย)


--
http://www.prachataiboard1.info/board/id/50088
http://hotspotshield.com
http://99it.blogspot.com/p/blog-page_21.html
http://www.redshirtinternational.org
http://norporchorusa.com/html/media/npcusa_radios.html
http://www.unblockanything.com
http://www.youtube.com/watch?v=Dyw-L8JSE2U
http://sanamluang.tv
http://thaitvnews2.blogspot.com
http://112victims.org
http://nonlaw.7forum.net/forum-f1/topic-t1169.htm

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

State Of Emergency Extended In Thailand July 9, 2010 | Vetting explained

 
iReport —

A state of emergency, imposed in Thailand to quell violent anti-government protests, has been extended for another three months in 19 provinces, including the capital, over fears of fresh violence.

 

The emergency law was extended in Bangkok and much of the north and north-east on the recommendation of the Center for the Resolution of Emergency Situations.

 

At the same time, the government revoked the three-month-old decree in five other provinces -- Si Sa Ket, Nan, Kalasin, Nakhon Pathom and Nakhon Sawan -- saying security conditions there had improved.

 

Emergency law gives sweeping powers to the security forces and bans public gatherings of more than five people. Under the law, suspects can be detained for 30 days without charge.

 

Tourism and Sports Minister Chumpol Silpa-Acha said he did not expect the Cabinet decision would significantly affect the country's vital tourist industry.

A state of emergency was enforced in the capital and nearby provinces after anti-government demonstrators stormed the country's Parliament on April 7.

 

On May 19, the so-called 'Red Shirt' leaders called off the months-old violent anti-government demonstrations after a military crackdown killed several protesters and wounded others, including foreigners.

Several UDD leaders are in police custody on various charges, including breaking emergency law, terrorism and criticizing the monarchy.

 

The military operation was the government's last resort to break up the stand-off that paralyzed parts of Bangkok since March 12 as thousands of demonstrators have been vowing to continue the protests until Prime Minister Abhisit Vejjajiva steps down, dissolves Parliament and calls fresh elections.

 

Abhisit, who had restrained for long calling on his political opponents to find a solution to the turmoil through negotiations, proposed a peace plan that dissolves the Parliament by September 30 and holds elections on November 14.

 

The protesters, mainly supporters of exiled former Prime Minister Thaksin Shinawatra, have been continuing the protests even after Abhisit yielded to their demands.

Abhisit backed out of his proposal, as the United Front for Democracy Against Dictatorship (UDD) refused to leave its protest site, prompting authorities to announce a crackdown on the movement.





ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!"

“ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!”

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        มื่อต้นเดือนนี้ ผมได้อ่านข่าว มติชนออนไลน์ (ที่ 04พฤษภาคม พ.ศ. 2553) นายมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ "เดอ สปีเกล" (Der Spiegel) ของเยอรมัน โจมตีประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า เป็น
       
Mafia state 
        โดยท่านผู้นำคนดัง กล่าวหาประเทศสวิส ว่า  
        เป็นหน่วยงาน ‘ก่อการร้าย’ และเป็น ‘แก๊งค์มาเฟีย’ มีพฤติกรรมฟอกเงิน และมีกฎหมายหลอกลวงชาวโลก ซึ่งอนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถรับการปลิดชีพจากแพทย์ได้ แต่แท้จริงต้องการเงินสดของคนเหล่านี้เข้าบัญชีธนาคารของประเทศ โดยสวิตเซอร์แลนด์ สมควรจะถูกฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมัน โดดเดี่ยวด้วย
        สำหรับคนบ้านเรานั้น ชอบใช้คำว่า “มาเฟีย” ไปในความหมายถึงพวก “แก๊ง” อันธพาลหรือนักเลงหัวไม้ ที่หาประโยชน์โดยมิชอบ และมีสันดานส่อไปในทางขอบ ‘รังแก’ หรือข่มเหงคนอื่น เพื่อปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนตามอาชีพ เช่น “มาเฟียคิวรถ” , “มาเฟียวงการม้า-มวย” แม้กระทั่งคนพิการที่ขายสลากกินแบ่ง ที่ทางกองสลากแบ่งโควต้าให้ ก็ยังดันมี  
        “มาเฟีย...ล๊อตเตอรรี่”

        เมื่ออ่านคำสัมภาษณ์นี้แล้ว ทำให้ผมนึกไปถึงบทความเกี่ยวกับ “มาเฟีย” ที่เคยเขียนลงในเว็บไซด์ ‘ผู้จัดการ’ เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งในตอนนั้นแก๊ง “ไอ้บัง กบฏ” ยังเรืองอำนาจอยู่ โดยให้ชื่อตอนที่เขียนว่า 
       
“จ่าตำรวจ-มาเฟีย!” 
        วันนี้ จะขอนำบางส่วนของบทความดังกล่าว มาลงไว้เพื่อให้ท่านผู้อ่าน เข้าใจเรื่ององค์กรอาชญากรรมอมตะ ที่ผู้คนเรียกขานหรือรู้จักกันในชื่อ
“มาเฟีย”
        ผมเขียนเอาไว้ อย่างนี้ครับ

content/picdata/233/data/20Mafia.jpg

        ...ตัวผมสนใจและติดตามเรื่องของ ‘มาเฟีย’ มาตลอด เพราะเคยถูกส่งไปต่างประเทศ เพื่อร่ำเรียน เกี่ยวกับวิธีการสอบสวน เพื่อรับมือ และจัดการเกี่ยวกับการค้นหาเส้นทางเรื่องการเงิน ขององค์กรที่ลือชื่อนี้ด้วย      
        ผมได้สร้างหลักสูตร วิชาการสอบสวนคดีเศรษฐกิจ ขึ้นเป็นครั้งแรกให้กับกรมตำรวจ เขียนตำราการสอบสวนคดีวิชานี้ ขึ้นมาให้ใช้กัน ทั้งบัญญัติคำใช้เรียกคำว่า Money Laundering ว่าเป็นการ “ฟอกเงิน” ขึ้นมา โดยใช้ในการบรรยายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว และถ้อยคำๆนี้ปรากฏอย่างเป็นทางการในหนังสือพิมพ์ “มติชน” รายวัน ซึ่งเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้ว       
        ดังนั้น ผมจึงรู้กลไกและวิธีการฟอกเงิน ซึ่งต่อมาก็ได้เดินทางไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในต่างประเทศ รวมทั้งในที่ประชุมใหญ่องค์กรตำรวจสากลด้วย เพราะเมืองไทยของเรานั้น เป็นแหล่งสำคัญที่อาชญากรต่างชาติ ได้ใช้เป็นแหล่งซุกซ่อนเงินที่ได้มาจากการกระทำผิด หรือนำมาแปรสภาพในรูปทรัพย์สินอย่างอื่น ถึงขั้นมีคำกล่าวกันว่า 
        “เมืองไทยเป็นสวรรค์ สำหรับอาชญากรต่างชาติ”

        คำว่า Mafia หรือภาษาไทยทับศัพท์เรียกว่า “มาเฟีย” หากใช้ในความหมายของชาวฟลอเรนซ์ อิตาลี นั้น แปลว่า “คนตัวเล็กผู้น่าสงสาร” แต่ในเมืองซิซิลีที่เป็นเกาะทางใต้ คำนี้ถ้าใช้ในภาษาของชาวซิซิเลียน ซึ่งเป็นเกาะต้นกำเนิดขบวนการ“มาเฟีย” มาจากคำว่า 
       
“mafiusu” 
        มีรากศัพท์มาจากภาษาอาราบิค “mahyas” คือการโม้ข่ม หรืออาจมาจากภาษาอาราบิคอีกคำหนึ่งคือ “marfud” แปลว่า “โดนปฏิเสธ” แต่ก็อาจแปลในอีกความหมายหนึ่งคือ คือ “เกียรติยศ-ความหาญกล้า” ซึ่งต่อมากลายเป็นชื่อเรียกองค์กรลับ ที่คนท้องถิ่นรวบรวมกันเป็นพันธมิตร เพื่อต่อต้านการรุกรานของทหารต่างชาติ ได้แก่ทัพพวกนอร์มันและชาวเติร์ก       
        เมื่อการรุกรานนั้นหมดไป องค์กรลับนี้หาได้สิ้นสุดตามลงไปด้วย แต่กลับมีวิวัฒนาการ กลายเป็นองค์กรอาชญากรรมนามกระเดื่องไปในที่สุด และเมื่อมีการหลั่งไหลของชาวอิตาเลียน เข้าไปในสหรัฐอเมริกา มาเฟียได้แพร่เชื้อติดเข้าไปด้วย พร้อมกับผู้อพยพชาวอิตาเลียนทั้งหลาย

        องค์กรมาเฟียได้มาตั้งหลักปักฐาน ที่มหานครนิวยอร์ก เพราะเมื่อชาวยุโรปเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค มาขึ้นฝั่งที่นิวยอร์ก คนอิตาเลียนจำนวนมาก ได้ตั้งเลือกนิวยอร์กเป็นที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ มาเฟียได้เข้ามีส่วนเข้ามาจัดระบบชุมชน ด้วยการแทรกแซงเข้ามาในชีวิตของพวกเขา และเรียกค่าตอบแทนในการให้ความคุ้มครอง ให้ความปลอดภัย       
        มาเฟียก้าวถึงยุคแห่งความรุ่งเรืองสุดขีด เมื่อสหรัฐคลอดกฎหมายที่ชื่อ Volsted Act 1919 ห้ามการจำหน่ายสุรา ทำให้การค้าสุราเถื่อนเฟื่องฟู ทำเงินอย่างมหาศาล ครอบครัวมาเฟียหลายตระกูล กลายเป็นมหาเศรษฐี

        ต่อมาองค์กรนี้ ได้ดำเนินธุรกิจกว้างขวางออกไป นอกจากการเรียกค่าคุ้มครองแล้ว ยังได้เข้าควบคุมและหาประโยชน์ จากธุรกิจนอกกฎหมาย เช่นบ่อนการพนัน การค้าหญิงโสเภณี การค้าของเถื่อน และมีบางพวกที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด จนแผ่ขยายเข้าไปในเมืองใหญ่อีกหลายรัฐ จนครอบคลุมไปเกือบทั่วสหรัฐ       
        ทายาทของแต่ละตระกูล มีบางส่วน ไม่ยอมเข้ามายุ่งในกิจการของครอบครัว เพราะไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับผู้รักษา กฎหมาย เพราะเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ชีวิตก็ไม่ปกติสุข และถอนตัวออกยาก อีกทั้งยังมีความขัดแย้งระหว่างตระกูล เกิดขึ้นเนืองๆ เพราะผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายหาจุดสมดุลไม่ได้ กลายเป็นความขัดแย้ง จนถึงเข้าฆ่าฟันกัน ถึงขั้นหนังสือพิมพ์เรียกว่า “สงคราม” หรือ “สงคราม-แก๊งมาเฟีย” กลายเป็นข่าวโด่งดัง จนมีการสร้างเป็นภาพยนตร์นับเรื่องไม่ถ้วน อย่างที่เราได้เห็นกันจนถึงยุค       
        การควบคุมองค์กรของมาเฟียนั้น มีตระกูลมาเฟียต่างๆแยกกันควบคุม แบ่งกันขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่หรือธุรกิจที่ถนัด โดยมีผู้นำองค์กรซึ่งปิดลับ ยากที่จะฝ่ายบ้านเมืองจะเข้าถึงตัวได้       
        องค์กรมาเฟียนี้ จึงกลายเป็นหนามยอกอก ของฝ่ายผู้รักษากฎหมายสหรัฐมาเนิ่นนาน และยังคงจะดำรงอยู่ต่อไปอีก โดยหาจุดจบได้ยาก 

        ในการขับเคี่ยวระหว่างผู้รักษากฎหมาย กับองค์กรมาเฟียนั้น มีตำรวจนายหนึ่งมียศเป็น “จ่า” ชื่อว่า ราล์ฟ ฟรานซิส ซาเลอร์โน (Ralph Francis Salerno) ซึ่งได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติยศชั้นสูง จากกรมตำรวจนิวยอร์ก

content/picdata/233/data/99.jpg

        เมื่อจ่าเซอร์ลาโน ลาออกจากองค์กรผู้รักษากฎหมายนั้น ตำแหน่งสุดท้ายของเขา ก็อยู่แค่ Detective Sgt. หรือ“จ่าสายสืบ”  แต่ผู้คนกลับจำได้มากกว่าตำรวจคนอื่น และยกย่องเขาในฐานะผู้รักษากฎหมาย ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการปราบปรามแก๊งมาเฟีย       
        จ่าซาเลอร์โนใช้เวลาของชีวิต ยาวนานถึง 20 ปี ในฝ่ายสืบสวนสอบสวนและงานด้านการข่าว เพื่อการปราบปรามอาชญากรรม ในฝ่ายสอบสวนกลางของกรมตำรวจนิวยอร์ก       
        ความชำนาญในสายงานการปราบปราม ในด้านองค์กรอาชญากรรมของจ่าซาเลอร์โน ทำให้คุณจ่าคนดัง ต้องกลับมาเป็นพยานผู้เชียวชาญ ในคดีธุรกิจให้กู้แบบ ‘ดอกโหด’ หรือที่เรียกกันว่า loan-sharking ทั้งการเป็นพยานให้ข้อมูลในชั้นศาล ชั้นการสอบสวนของสมาชิกรัฐสภาสหรัฐ และวุฒิสภาอีกด้วย       
        หลังจากที่เกษียณอายุไปในครั้งแรก เมื่อปี 1967 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกระทรวงยุติธรรมในวอชิงตัน ดี.ซี. และสำนักงานอาชญากรรมและเด็กมีปัญหาแห่งชาติ

        ปี 1970 นายกเทศมนตรี จอห์น วี ลินด์ซีย์ ผู้มีชื่อเสียงแห่งมหานครนิวยอร์ก ได้เลือกเซอร์ราโน่เป็นที่ปรึกษา ในด้านการพนันของรัฐ มีหน้าที่ทำลายล้าง การแทรกซึมเข้าเจาะธุรกิจการพนันของเหล่ามิจฉาชีพ และต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งจาก Nicholas Ferraro อัยการเขตควีนส์ ให้รับผิดชอบในการสอบสวน เกี่ยวกับคดีองค์กรอาชญากรรม       
        ซาเลอร์โนลาออกจากการรับใช้ทางการเมื่อปี 1975 แต่ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคเอกชน       
        จ่าตำรวจผู้นี้ เป็นลูกชาวอิตาเลี่ยนผู้อพยพ และเกิดในแถบ Bronx ซึ่งอิทธิพลของมาเฟียแผ่ขยายแถบถิ่นกำเนิด และมีกฎสำคัญในละแวกบ้าน คือกฎแห่งความเงียบ คือชาวบ้านจะไม่ไปปริปาก หรือทำตัวเป็นเบาะแส คอยชี้เป้าให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ได้เป็นอันขาด       
        เจ้าตัวเล่าให้ฟัง ว่า       
       
“เรื่องที่ผมจำได้ดีที่สุด เกิดขึ้นเมื่อตอนผมเป็นเด็ก นั่งกินข้าวอยู่ในบ้านกับครอบครัว พวกอันธพาลหลบหนีตำรวจมาทางด้านบันใดหนีไฟ ผ่านห้องที่เขากับครอบครัวอาศัยอยู่       
        พวกเหล่าร้ายผิวปาก ส่งสัญญาณให้เราเงียบ พวกเราจึงไม่มีใครเปิดปากบอกเจ้าหน้าที่ในเรื่องนี้       

       
พ่อผมเล่าให้ฟังว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว อีกไม่กี่วันพ่อไปตัดผมที่ร้านประจำ ช่างในร้านส่งถุงใส่ของให้ ซึ่งพอพ่อรับมาเปิดออก ก็พบมีดโกนใหม่ แปรงสำหรับชุบสบู่โกนหนวด และถ้วยใส่สบู่โกนหนวดกาไหล่ทอง และมีตราสำนักงานสาธารณสุข ที่พ่อเป็นพนักงานประจำอยู่       
        นี่แสดงว่าคนพวกนี้รู้ว่า คนแถวบ้านผมใครเป็นใคร ทำงานอะไร ไม่ได้ลอดสายตาพวกนี้ไปได้”

        ความทรงจำเหล่านี้เอง ที่กระตุ้นให้เขามาเป็นตำรวจ เมื่อ
ปี. 1964 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปราบปรามอาชญากรรมอย่างเต็มที่ และกลายเป็นตำรวจที่มีชื่อเสียง แม้จะไม่ได้รับยศเป็นตำรวจสัญญาบัตรก็ตาม       
        การที่จ่าแกจับกุมพวกมาเฟียเชื้อสายอิตาเลี่ยน เช่นเดียวกับตัวเองหลายต่อหลายคน จึงมักจะได้รับคำถามเสมอว่า       
        “จ่าครับ ทำไมจ่าจึงชอบจับแต่คนอิตาเลี่ยน? คนเชื้อสายเดียวกันกับจ่าแท้ๆ ไม่น่าทำกันเลย!”       
        จ่าซาเลอร์โนเล่าว่า       
        “ผมตอบมันไปว่า เอ็งกับข้ามันคนละประเภทกัน กริยาท่าทางของข้า ศีลธรรม และอีกหลายอย่างที่เป็นคุณสมบัติของข้า...มันคนละอย่างกับพวกเอ็งเฟ้ย”       
        ตำรวจเชื้อสายมักกะโรนี ราล์ฟ ซาเลอร์โน พูดอย่างหนักแน่นต่อไปว่า       
        “....สิ่งเดียวที่ข้ามีเหมือนกับพวกเอ็ง คือเราเติบโตมาจากวัฒนธรรมเดียวกัน แต่เอ็งมันเป็นไอ้พวกที่ทรยศต่อประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์เรา ซึ่งข้าภาคภูมิใจยิ่งนัก เพราะข้าเป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น (ประวัติศาสตร์ชาติและวัฒนธรรม)...”       
        ฟังคุณจ่าแกพูดแล้ว ให้ผมเองฉุกคิดขึ้นมา ว่า

        บ้านเมืองของเรานั้น แม้ผู้คนจะเติบโตมาจากประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเดียวกัน มีความภาคภูมิใจ ในสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นคนไทยมาเหมือนๆกัน และต่างก็มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนดูเหมือนว่า บ้านเมืองเราไม่มีปัญหาเรื่องความแตกต่างนี้ เหมือนอย่างสังคมอื่นเขา (นอกจากปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)       
       
แต่ไม่น่าเชื่อว่า       
        ทันทีที่พูดถึงเรื่อง ‘แนวความคิดทางการเมือง’ ของคนบ้านเราแล้ว ปัจจุบันกลับ ‘แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว’ จนยากที่จะผสมกลมกลืน เข้าเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน ยังผลจะทำให้การอยู่ร่วมกัน ต่อไปในประเทศนี้ในวันข้างหน้า       
        เพราะคงจะหาความเป็นปกติสุข ได้ยากเต็มที!

        เราลองมาคิดดูกันเล่นๆก็ได้ ถ้าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้วาจา แบบจ่าซาเลอร์โน คือพูดแบบทิ้งทวน ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ว่า       
        “แม้เอ็งกับข้า จะเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่ความเชื่อของข้ากับเอ็ง มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงว่ะ...ไอ้เวรเอ๋ย ! ” 
        หยุดสักนิด เพื่อเพิ่มความเข้มเสียงอีกสักหน่อย แล้วพูดต่อ       
        “พวกข้ารักและศรัทธา ในระบอบประชาธิปไตย แต่เอ็งกับพวก มันใฝ่ใจ‘เผด็จการ’!”       
        แค่นี้เท่านั้น ไอ้เรื่องการที่จะมาเรียกร้องให้ ‘สมานฉันท์’ กัน....บอกได้เลยว่า

        “ไม่มีทาง!!”

---
       
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
        ที่ท่านเพิ่งอ่านจบลงนั้น เป็นข้อเขียนของผม ในเว็บไซด์ ‘ผู้จัดการ’ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.2550 ไม่กี่สัปดาห์
เมื่อการเลือกตั้งจบลง ฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง และสร้างความผิดหวังให้กับพวกถือปืน เข้ายึดอำนาจประชาชน กลายเป็นพรรคดักดานซึ่งยอมอ่อนน้อม ค้อมกระบาลให้กับ...
       
พวกเผด็จการ นั่นเอง! 
        นับเป็นปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า พรรคเก่าแก่นั้น ได้รับการช่วยเหลือในการเลือกตั้งทุกรูปแบบ จากแก๊งที่ก่อกบฏ ยึดอำนาจจากประชาชน ซึ่งยังเรืองอำนาจอยู่ในเวลานั้นด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยังคิดว่า คราวนี้พรรคของพวกนายกฯทักษิณ ที่ถูกบีบอย่างหนักนั้น คงจะต้องปราชัยย่อยยับแน่ๆ 
        แต่..
ผลมันกลับตรงข้าม!!
        เมื่อพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่หยุด ยังคงขัดขวางระบอบประชาธิปไตย ด้วยการไม่ยอมรับ และต่อต้านรัฐบาลเสียงข้างมาก ที่ประชาชนเขาเลือกมาทุกวิถีทาง ตามแผน “บันใดอัปรีย์” ของ “ไอ้บัง กบฏ” จนทำให้บ้านเมืองของเรา เคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยความยากลำบาก 
        เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ได้สร้างความขัดแย้งให้กับผู้คนในบ้านเมือง และดำเนินต่อมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นอย่างที่เห็นกัน และทำให้ประชาชนคนไทย 
        ต้องบาดเจ็บล้มตาย เป็นจำนวนมาก!!!

        สถานการณ์ที่ปรากฏขึ้น ในบ้านเมืองเราขณะนี้นั้น รัฐบาลของนายมาร์ค ร้อยศพ ดูเหมือนได้เปรียบเหนือฝ่ายต่อต้าน พวกเขากำลังเปิดเกมรุก ไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่ 
        ถึงวันนี้ พลพรรคของฝ่ายคนเสื้อแดง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ถนัด เพราะยังมีกฎหมายที่กดกระบาลอยู่ คือ “พ.ร.ก.” แต่โทษที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ที่ยกมาขู่กันนั้น ก็กะริบกะร่อย เพราะเพียงแค่โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร 
       
ที่สำคัญก็คือ
        เมื่อตัวพระราชกำหนดถูกยกเลิก หรือไม่มีการต่ออายุเมื่อใด ผู้ต้องขังที่ถูกศาลลงโทษ ก็จะต้องได้รับการปล่อยตัว เพราะการสิ้นสุดหยุดลงของกฎหมาย ส่วนผู้ที่ยังจับกุมไม่ได้ หรือไม่ได้เข้ามอบตัว คดีก็เป็นอันหมดสิ้นกันไป 
        สำหรับคดีอุปโลกน์ เรื่อง ‘ก่อการร้าย’ ก็มีเงื่อนเวลาจำกัดเพราะสำนวนการสอบสวน จะต้องเสร็จภายใน 2 เดือนข้างหน้า ตามอำนาจการควบคุมผู้ต้องหาของศาล ที่จะสิ้นสุดลงตามกฎหมาย
        สำหรับ ‘คดีก่อการร้าย’ ที่อยู่ระหว่างการฝากขัง และอัยการจะต้องมีคำสั่งก่อนอำนาจการควบคุมสิ้นสุดลง ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่นานนัก 
        หากอัยการสั่งฟ้อง ก็จะต้องกินเวลาในการพิจารณากันอีกยาวนาน อย่างน้อยกว่าการพิจารณาจะสิ้นสุดลง ก็ต้องใช้เวลา
       
ไม่น้อยกว่า 10 ปี!
        (ราคาต่อรอง สำหรับผลคดีในตลาดตอนนี้ ก็อยู่ที่ 5 ต่อ 1 ว่า แกนนำถูก ‘ยกฟ้อง’ แหงๆ!)

        ผมเคยเขียนเปรียบเทียบ ความซับซ้อนของ ‘คดีก่อการร้าย’ กับคดีซื้อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ รายนั้นผู้ต้องหาแค่คนเดียว แต่ก็สู้กันยันฎีกา กว่าศาลจะลงโทษนักการเมืองของพรรคเก่าแก่ ด้วยการ จำคุก 1 ปี และตัดสิทธิ 10 ปี ได้สำเร็จ ก็กินเวลานาน
       
ถึง 1 ทศวรรษ
        แม้แต่คดี ส.ป.ก.4-01 ซึ่งเป็นเรื่องอื้นฉาวของพรรคเก่าแก่ดักดานอีกเหมือนกัน กว่าจะเสร็จสิ้นการฟ้องเรียกที่ดินของรัฐคืนได้ ก็กินเวลายาวนาน 10 ปี เช่นกัน

        จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคดีความการก่อการร้าย ซึ่งมีจำนวนผู้ต้องหาและพยานผู้เกี่ยวข้องมากมาย ได้รับการคาดหมายว่า
         จะต้องยืดยาวเป็นหนังชีวิต โดยมีภาคต่อและภาคตาม อีกหลายตอน ซึ่งจะต้องดำเนินการในชั้นศาล โดยลากกันไปอีกอย่างยาวนาน เพราะต้องว่ากันเต็มเหนี่ยว
        
ไปจบกันที่...ศาลฎีกาโน่นเลย! 
         ดังนั้น ยิ่งเวลาทอดออกไปเนิ่นนานเท่าใด โอกาสที่บาดแผลในใจของฝ่ายที่ถูกปราบปราม ก็จะยิ่งถูกขยายให้กว้างขึ้น และกว้างขึ้น จนกลายเป็นแผลเฟอะฟะ เรื้อรัง ของชาติไทยเราไป ในที่สุดความสามัคคีของคนในชาติ ก็จะหาไม่ได้ในแผ่นดินนี้
         แม้ปัจจุบันฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล จะเคลื่อนไหวกันไม่ถนัด แต่ก็มีพลวัตรที่น่าสนใจของส่วนอื่นในสังคมไทย และจะมีความแหลมคมต่อไป นั่นก็คือ
         มีความเคลื่อนไหว ในมหาวิทยาลัยต่างๆอย่างกว้างขวาง ซึ่งบรรดาอาจารย์นิสิตนักศึกษา เริ่มนำข้อมูลเรื่องรัฐบาลและทหาร ใช้อาวุธ เข้าปราบปรามประชาชนอย่างเหี้ยมโหด ออกมาตีแผ่กันแล้ว หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘ไทยรัฐ’ เห็นปรากฏการณ์นี้ชัดเจน ถึงกับลงในคอลัมน์ ‘ทีมข่าวการเมือง’ หน้า 3 เมื่ออังคาร ที่ 22 มิ.ย. 2553 ว่า
         ...ที่เฮี้ยนจริงๆกลับกลายเป็นเสียงของนักวิชาการ ทั้งยี่ห้อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ตั้งเวทีเสวนา วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐบาลและ ศอฉ.ในการดำเนินการ กับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงแบบถึงแก่นถึงกึ๋น...

         การเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเกินความคาดหมายแต่ประการใด เพราะ สิทธิมนุษยชน’ นั้น พลโลกเขาถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า
         องค์กรสิทธิมนุษยชน อย่างฮิวแมนไรท์วอช (ซึ่งเคยเปิดโปงเรื่อง “ศูนย์กระทืบสันติ” ที่ปักษ์ใต้จนต้องยุบศูนย์ไป) ก็มีการเข้ามาสอบสวนพยานในประเทศไทยแล้ว
         กรณีของประเทศไทยนั้น มีข้อพิจารณาได้ว่า

         พยานหลักฐานทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่ใช่มาจากหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะมาจากสื่อมวลชน ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ และบันทึกความเคลื่อนไหวด้วยเครื่องมือต่างๆ นั้น
        
ได้ชี้เป้าตรงไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ที่ออกปฏิบัติการในห้วงเวลานั้น ซึ่งรัฐบาลเอง ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า 
         ทหารไม่ได้ปฏิบัติการแบบหฤโหด ตามที่กล่าวหากัน หรือเป็นฝ่ายสังหารประชาชน!

         ในฐานะที่ตัวผู้เขียน มีความคุ้นเคยกับการสอบสวนคดีขนาดใหญ่ ขอเรียนกับท่านผู้อ่านที่เคารพว่า

         ในไม่ช้านี้ ข้อสงสัยที่ว่า ทหารเป็นผู้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะกรณีฆ่าหมู่ 6 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม จะยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น และจะเป็นภาระหนักของฝ่ายรัฐ ในการแก้ไขเหตุการณ์ต่อเนื่อง ทั้งในและต่างประเทศ
         ถ้าหลักฐานฝ่ายรัฐบาล ยังง่อนๆแง่นๆ แต่ตรงกันข้ามหลักฐานของฝ่ายองค์กรอิสระ และนักวิชากลับมีมากขึ้น อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ 
         ในที่สุดประชาชนในบ้านนี้เมืองนี้ ก็จะพากันเชื่อว่า   
         “กองทัพไทย มีฆาตกร!”

         ถึงวันนั้น ไทยแลนด์แดนสยาม และรัฐบาลโลซกแห่งประเทศไทย ก็จะต้องตกมี “ขี้ปาก” ของชาวโลกมากยิ่งขึ้นทุกที...ทุกที!
         อีกไม่นานเกินรอ อาจมีผู้นำประเทศหรือบุคคลสำคัญในองค์กรต่างของโลก ออกมาซ้ำรอย นายมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย โดยประกาศก้อง กู่ร้องให้ดังไปทั่วโลกว่า

         “ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!”

............

         (คอลัมน์ประจำสัปดาห์ ตอน “ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 26 มิถุนายน 2553)

--
http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2010/05/16/the-king-fades
http://thaiuknews.wordpress.com
http://redphanfa2day.wordpress.com
http://liberalthai.wordpress.com,
http://asiapacific.anu.edu.au/newmandalahttp://www.notthenation.com,
http://wdpress.blog.co.uk,
http://www.youtube.com/user/iheredottv,
http://redsiam.wordpress.com,
http://siamrd.blog.co.uk,http://thaienews.blogspot.com,
http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com,
http://thaiuknews.wordpress.com,
http://redphanfa2day.wordpress.com,
http://liberalthai.wordpress.com,
http://lmwatch.blogspot.com/ศูนย์ข้อมูลและเฝ้าระวังกรณีผลกระทบจาก"กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"และข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง,
http://horriblethailand.wordpress.com/category/red-songs,
http://www.filmint.nu
http://filmjournal.net/kinoblog