เหยื่อวัยเยาว์จากเหตุปะทะ

1989 Tiananmen Square Protests

อภิสิทธิ์ตอแหลจะๆ ชัดเจน ไร้ยางอาย

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การโคจรมาพบกันของ 4 ดาราเกาหลีในเมืองไทย

 
การโคจรมาพบกันของ 4 ดาราเกาหลีในเมืองไทย 555555
[Image: 65391134757939905562100.jpg]

รูปภาพของสหายอ้วน กลุ่มวันอาทิตย์สีแดง

ฉันเป็นดั่งสายน้ำแห่งวันวาน ไหลโจนทะยานไกลโพ้นจากบ้านเก่า


การโคจรมาพบกันของ 4 ดาราเกาหลีในเมืองไทย

วอน นอน คุก

ยอง ยอง ซอย

อวน จังกู

หาม กู ที

http://www.internetfreedom.us/showthread.php?tid=10239


--
*******************************************************************************************
คุณได้รับข้อความนี้เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกกลุ่ม Google Groups กลุ่ม "กลุ่มเรดไทย"
ต้องการโพสต์ถึงกลุ่มนี้ ให้ส่งอีเมลไปที่ redthai@googlegroups.com
ยกเลิกการเป็นสมาชิกกลุ่ม ส่งอีเมลไปที่ redthai+unsubscribe@googlegroups.com
หากต้องการดูตัวเลือกเพิ่มเติม โปรดไปที่กลุ่มนี้โดยคลิกที่
http://groups.google.com/group/redthai?hl=th?hl=th
เว็บไซต์ของกลุ่ม: http://www.redthai.org
cBox ของกลุ่ม http://cbox.redthai.org



--
http://www.unblockallweb.com/
http://downmerng.blogspot.com
http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553
http://www.unblockallweb.com/index.phpq=aHR0cDovL2Rvd25tZXJuZy5ibG9nc3BvdC5jb20%3D&hl=3e8
http://www.112victims.org/
http://www.thaifreenews.org/
http://friendfeed.com/
http://chirpcity.com/bangkok/3
http://www.radaroo.com/
http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html
http://tv.kapook.com/nbt.php
http://friendfeed.com/antactica
block
http://www.ustream.tv/channel/redheart
http://redpower-sm-germany.com

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เวบไซต์ของ Kempinskiระบุ ว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือหุ้นใหญ่และเป็นเจ้าของ Kempinski




เพื่อนเอ๋ย..อย่าร้องไห้ เข้มแข็งไว้จนสุดทาง


ณัฐ วุฒิ ใสยเกื้อ:พี่น้อง..อย่าร้องไห้ อยู่ในนี้สภาพจิตใจผมไม่มีปัญหา อยู่ในนี้จิตใจยังเข้มแข็งตลอดเวลา ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตย และจะเป็นคนหนึ่งในกระบวนการนี้จน สุดทาง...



ที่มา รายงานพิเศษประชาชาติธุรกิจ

เสียงก้อง-ดอกไม้-น้ำตาในเรือนจำ "ณัฐวุฒิ" ปราศรัยปลุกขวัญสาวกแดง "พี่น้อง...อย่าร้องไห้ ผมใจเข้มแข็ง เราไม่ทิ้งกัน"

โลกภายนอกเรือนจำ เคลื่อนไป ข้างหน้ารวดเร็ว-ซับซ้อนเกินกว่า 7 แกนนำ นปช.จะรับรู้

อดีตแกนกลางการเคลื่อนไหว "แดง" ทั้งแผ่นดิน กลายเป็นแกนที่รอวันหมุนตาม

เมื่อ จู่ ๆ ชื่อ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่เคยออกมาประกาศว่าจะเดินหน้า-ลงมือเจรจา เพื่อความปรองดอง บุกไปประชิดตัวถึงในตารางสี่เหลี่ยม

วรรคทอง -วาระสำคัญ ที่คีย์แมนการเมือง สื่อสาร-ส่งข่าว อธิบายเบื้องหลัง-เบื้องหน้าของการเจรจาใน คุกแดง มีความหมายครอบคลุมทั้งเรื่องการอภัยโทษ-ปล่อยตัว และสิทธิของคนเสื้อแดง และ "รัฐบาลต้องพิจารณา"

72 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น...แคมเปญของคนเสื้อแดงถูกจัดขึ้นหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

คน เสื้อแดงประมาณ 500 คน มารวมตัวกันวางดอกกุหลาบสีแดงหน้าประตู เรือนจำ พร้อมส่งเสียงตะโกนด่าทอ รัฐบาลและเสียงตะโกนให้กำลังใจแกนนำ ที่อยู่ในคุก บางครั้งเลยเถิดถึงขั้นดันแถวเข้ามาโยนดอกไม้ ทำเอาประตูรั้วเรือนจำสั่นไหว

เสียงขานชื่อ "นักโทษ" สลับกับเสียงปลุกปลอบขวัญผู้มาให้กำลังใจ

ทูตเสื้อแดง-ภรรยาของ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ทำหน้าที่เจรจากับสาวกเสื้อแดงข้างนอกก่อนเข้าเยี่ยมสามี

ด้วยข้อจำกัดของเรือนจำ จำนวนคนเข้าเยี่ยม-เห็นหน้า-เห็นตัวเป็น ๆ ของ "ณัฐวุฒิ" จึงเต็มจำนวน เต็มพิกัด เท่าที่ถูกกำหนด

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" เป็น 1 ในจำนวนจำกัด

จึง เห็นภาพ-เสียงที่ทุลักทุเลของบรรดาสาวก-แม่ยกโผเข้าหากันและกัน และส่งเสียงสนทนาที่ต่างฝ่ายต่างพูดแทบฟัง ไม่ได้สรรพผ่านรูเล็ก ๆ บนแถบแผ่นโลหะ

คำแม่ยกมีทั้งข่าวสารสด ๆ ร้อน ๆ แจ้งจำนวนมวลชนที่ร่วมใจไปวางดอกไม้หน้าเรือนจำ

"ณัฐวุฒิ" และแกนนำทุกคนรูปร่างผอมลงอย่างเห็นได้ชัด

"น้ำหนักลดลงไป 6 กิโล เพราะออกกำลังกายทุกวัน ชกมวยทุกวัน" ณัฐวุฒิอธิบายรูปกายที่เปลี่ยนไป ทำให้เหล่าสาวกตื้นตันน้ำตาคลอเบ้า

ณัฐวุฒิ-ปลอบคนเข้าเยี่ยมว่า "อย่าร้องไห้ สภาพจิตใจผมไม่มีปัญหา อยู่ในนี้จิตใจยังเข้มแข็งตลอดเวลา"


คน ข่าว-ถามทุกข์-สุข และเรื่องราวประเด็นข่าวนอกคุก ทั้งเรื่องแผนปรองดอง-แผนเพื่อไทย "ณัฐวุฒิ" ตอบได้แต่เพียงว่า "ไม่รู้เรื่องมากนัก" พร้อมออกตัวว่า "ไม่อยากแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เพราะเกรงว่าจะทำให้ทางเรือนจำเดือดร้อน"

"เวลามีคนมา เยี่ยม มาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้รับฟัง และให้กำลังใจ...ฝากความคิดไปบ้างเท่าที่จะทำได้ พยายามบอกพี่น้องให้เข้มแข็ง ยืนหยัดหลักการ สันติวิธีให้เกิดประชาธิปไตย"


ส่วนข้อถกเถียงในโลกภายนอกคุกที่ว่า นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) กับพรรคเพื่อไทย ใครจะนำใครกันแน่ ?

"ณัฐ วุฒิ" บอกว่า "ประชาธิปไตยนำ ทั้ง 2 องค์กรนี้ไปด้วยกัน ทั้งเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ไม่มีใครเดินตามใคร แต่ทั้ง 2 ส่วนเดินตามหลักการประชาธิปไตย และสังคมไทยก็ควรจะได้เดินไปในแนวทางนี้เช่นกัน"

ส่วนคำถามถึงแผน ปรองดองและ ความหวังที่จะได้ประกันตัว "ณัฐวุฒิ" ปฏิเสธว่าไม่ทราบรายละเอียด รวมทั้งยังไม่ทราบว่าจะได้รับการประกันตัวหรือเกือบได้ประกันตัวจากแผน ปรองดอง นอกคุกหรือไม่

นักข่าวชวนสนทนาประเด็นร้อนว่า การนอนคุกของเขาสะท้อนผลแพ้หรือชนะ ของม็อบแดง เขาตอบว่า "เราไม่ได้ทำเพื่อให้เกิดผลแพ้หรือชนะ แต่ทำเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ความแพ้หรือชนะ ของใคร"

เขาอธิบายสถานการณ์ส่วนตัวของเขา และผลที่เกิดกับแกนนำทั้ง 7 คนที่ยังยืน อยู่ในคุกว่า "เป็นเพราะประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย"

คำถามเชิงปรารภ ชวนปะทะทางความคิด ที่ว่า "ณัฐวุฒิ" อยู่จุดไหนของกระบวนการเคลื่อนไหวไปสู่เป้าหมายของคนเสื้อแดง เขาตอบแต่เพียงว่า

"ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประชาธิปไตย และจะเป็นคนหนึ่งในกระบวนการนี้จน สุดทาง.."


แม้ การไร้อิสรภาพยาวนานกว่า 100 วัน โดยไม่รู้อนาคตว่าจะได้รับการปล่อยตัว เมื่อไร และมีกระบวนการอย่างไร เพื่อให้พ้นคุก แต่แกนนำ "นปช.-ณัฐวุฒิ" ไม่เคยหมดพลัง-หมดกำลังใจ

"สิ่งที่จะลดลงไปก็คือ วัน เวลาที่จะได้ทำภารกิจร่วมกับข้างนอก แต่ขวัญและกำลังใจของพวกเราไม่ลด เราต้องเข้มแข็งเพื่อพี่น้องทุกคน แกนนำข้างในคุกดูแลกันและกัน ความเข้มแข็งของเราจะเป็นกำลังใจให้คนข้างนอกตลอดเวลา"


ยามว่างเว้นจากห้วงคำนึงถึงครอบครัว "ณัฐวุฒิ" ลงมือใช้ความรู้-ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวในฐานะ "นักกลอน" แต่งเพลงเพื่ออนาคต

"วันนี้ ผมตั้งใจจะเขียนเพลงเพื่อบันทึกความรู้สึกในวันนี้ วันที่พี่น้องเสื้อแดงเอาดอกไม้มามอบให้ ผมหวังว่าดอกไม้ที่เอามาวันนี้จะได้ส่งความรู้สึกผูกพันของคนเสื้อแดงไปถึง ทุกชีวิตที่จากไป"


"ถ้าวันนี้พี่น้อง เสื้อแดงทำกิจกรรม มอบดอกไม้ให้ผมและแกนนำข้างใน เรือนจำ... ผมก็ขอเป็นตัวแทนจาก คนเสื้อแดงในเรือนจำ...ส่งมอบต่อไปให้ แก่ผู้เสียชีวิต รวมทั้งครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บทุกคนพร้อมครอบครัว ผมอยากบอกว่า ผมรักพวกเขา เราไม่ทิ้งกัน..."


เสียงผู้คุมประกาศ "หมดเวลาเยี่ยม" ทั้งแกนนำ-สาวก-แม่ยก และภรรยาคู่ชีวิตของ "ณัฐวุฒิ" และภรรยา 7 แกนนำ นปช.ต่างทยอยกลับ

ภาพหน้าคุกมีการนำดอกกุหลาบสีแดง พร้อมกระดาษข้อความ จดหมาย เสียบไว้ตลอดแนวรั้วคุก

72 ชั่วโมงก่อนถึงวันครบรอบ 4 ปี 19 กันยา วาระ 4 เดือน จากราชประสงค์ มีทั้งดอกไม้และน้ำตา

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 10/02/2010 12:16:00 ก่อนเที่ยง   Links to this post

วันศุกร์, ตุลาคม 01, 2010

พสกนิกรซาบซึ้งทรงโปรดเกล้าถวายเครื่องราชฯพล.อ.ร่มเกล้า ฝ่าอันตรายในหน้าที่ 10 เมษาจนเสียชีวิต


พระมหากรุณาธิคุณ-พระ ราชินี เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในการวางพวงมาลา และพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 ในการนี้มีรับสั่งว่า เสียใจ เสียดาย นายทหารที่ดี นับว่าเป็นการสูญเสียทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง และขอขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาเป็นอย่างดี มีความภักดีต่อราชวงศ์ (รายละเอียดข่าว)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
1 ตุลาคม 2553

เมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม 2553 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษ

ประกาศสำนัก นายกฯ ระบุว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษ ให้แก่ ข้าราชการทหาร สังกัดกองทัพบก ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยความเสียสละและฝ่าอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการและเป็นแบบอย่างอันควรแก่การยกย่อง สรรเสริญสืบไป จำนวน 5 ราย ดังนี้

ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก
1. พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม
เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย
2 . ร้อยเอก ภูริวัฒน์ ประพันธ์
3. ร้อยเอก อนุพนธ์ หอมมาลี
4. ร้อยโท อนุพงษ์ เมืองอำพัน
5. ร้อยตรี สิงหา อ่อนทรง
ประกาศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สุเทพ เทือกสุบรรณ
รองนายกรัฐมนตรี



เย็นศิระ เพราะพะระบริบาล-เมื่อ เวลา19.00น.เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2553นี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถนนราชวิถี เพื่อทรงเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากผู้ ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก(ภาพข่าว:ASTVผู้จัดการ)

พระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร-ไม่ เพียงแต่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อฝ่ายเจ้าหน้าที่ แต่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า โดยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ไปในการพระราชทานเพลิงศพนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดการชุมนุมและปะทะกับตำรวจ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม2551 ณ เมรุวัดศรีประวัติ ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

เสด็จเยี่ยมราชินี-เมื่อ เวลา 17.15 น. วันที่ 1 ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาโรงพยาบาลจุฬา ชั้น 20 ของตึก สก.เพื่อทรงเยี่ยมสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่ประทับรักษาพระวรกายตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่เวลา 23.20 น. ของวันที่ 30 กันยายน

มติชนออนไบน์ รายงานว่า บรรยากาศที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ว่า ทางเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ตั้งแต่ช่วงเช้า โดยมีการติดตั้งเครื่องตรวจอาวุธและวัตถุโลหะจำนวน 2 เครื่องไว้ที่บริเวณทางเข้าและบริเวณด้านหลังตึก สก รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สันติบาลรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบ ตึก สก อย่างเข้มงวดด้วย (รายละเอียดข่าว)

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 10/01/2010 06:45:00 หลังเที่ยง   Links to this post

จากสมุดปกขาวถึงเสื้อสีชมพู แม้วจะเอาไงแน่!..แค่ต่อรอง หรือปรองดอง?


ทักษิณกำลังใส่เสื้อสีชมพู-ภาพ นี้ผมถ่ายมาจากหน้าหนึ่งของนิตยสาร "มหาประชาชน" (วีระ มุสิกพงศ์ ที่ปรึกษา)ตอนแรกที่เห็นผ่านๆผมก็ยังไม่ทันคิดอะไร จนกระทั่งมีคนชี้ให้เห็นว่า ในรูปทักษิณกำลังใส่เสื้อสีชมพู (จดหมายทักษิณ ลงวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา) ผมไม่ต้องการตีความอะไรมากมาย นอกจากคิดว่า การเลือกสีเสื้อคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และคงเป็นการพยายาม "ส่งซิก" เรื่องปรองดอง (สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:กระดานสนทนาคนเหมือนกัน)


ที่มา เวบไซต์ siamintelligence

ต่อรองหรือปรองดอง จดหมายจากมอนเตฯ ถึง สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพ โดย สนง.กฎหมายอัมสเตอร์ดัม

รัฐบาล ไทยตั้งแต่ชุดของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จนมาถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีหน้าที่หนึ่งที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆที่ยังไม่สามารถปิดงาน รัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 49 ลงได้นั่นคือ การนำตัว พตท.ทักษิณ ชินวัตร มารับโทษในประเทศให้ได้

แต่ทว่ากลับไม่สามารถทำได้อย่างสะดวกนัก การเคลื่อนไหวเพื่อหลบหลีกการตามล่าของเจ้าหน้าที่ไทยนั้นของพตท.ทักษิณตลอด 4ปีที่ผ่านมาต้องถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางรอบโลกเลยทีเดียว

การเดินทางรอบโลกของพตท .ทักษิณนั้น กลับไม่ได้เพียงแค่หลบหลีกการตามล้างตามเช็ดของผู้กุมอำนาจจากรัฐไทยเท่า นั้น กลับเดินเกมส์โลกล้อมประเทศไทย ด้วยเครือข่ายระดับผู้นำประเทศและนักธุรกิจใหญ่ที่กระจายออยู่ทั่วโลกทำการ กดดันประเทศไทยเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในหลายๆครั้ง

การต่อรองของพตท .ทักษิณที่ผ่านมาต้องถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง อย่างน้อยช่วงหนึ่งสามารถกลับมายังประเทศไทยเมื่อต้นปี 2551 ก่อนที่ออกนอกประเทศไปอีกครั้งหลังจากศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองพิพากษาว่า พตท.ทักษิณมีความผิดในเรื่องทุจริตซื้อที่ดินรัชดามีโทษจำคุก 2 ปี แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา การเดินเกมส์เพื่อต่อรองผู้มีอิทธิพลตัวจริงของไทยกลับไม่สามารถทำได้สำเร็จ อย่างที่คิด

แม้ว่าการเจรจาเพื่อนำไปสู่การปรองดองในหลายๆครั้งเพื่อ ไม่ให้เกิดการปะทะกันก่อนการกระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมนั้นต้องถือว่าอำนาจต่อรองในเวลานั้นของทักษิณถือไผ่เหนือกว่ามาก ด้วยจำนวนมวลชนเรือนแสน สอดรับกับท่าทีของทักษิณผ่านทวิตเตอร์และการโฟนอินในหลายๆครั้งที่ออกมา ในแต่ละครั้งมีเป้าหมายเพื่อการเจรจาต่อรองกับผู้มีอำนาจสูงสุดโดยอาศัยมวล ชนจำนวนมหาศาลในเวลานั้นเป็นเครื่องต่อรอง แต่สุดท้ายการต่อรองกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกลายเป็นความพ่ายแพ้ในที่สุด

ใน ความเป็นจริงตามที่ปรากฏให้เห็นต้องถือว่าการเจรจาต่อรองโดยอาศัยคำว่า ปรองดองนั้นมีมาโดยตลอด การช่วงชิงจังหวะเพื่อสร้างอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอีกฝ่ายนั้น ตลอดจนการประนีประนอมในหลายๆครั้งดังกรณีล่าสุดที่พตท.ทักษิณไม่ได้ ทวิตเตอร์หรือโฟนอินใดๆเลย เป็นเดือน แม้แต่การลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในรัฐบาลฮุนเซน ก็ถือว่าเป็นการถอยอย่างประนีประนอมเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับถูกปล่อยข่าวออกมาว่าป่วยหนักมากเข้าขั้นโคม่าเลยทีเดียว จนต้องออกมาเขียนทวิตเตอร์อีกครั้งพร้อมกับข้อเสนอแนะในการปรองดองอีกครั้ง โดยการออกมาทวิตเตอร์ในครั้งนี้มองได้ว่าเป็นข้อเสนอโดยตรงไปถึงผู้มีอำนาจ สูงสุดว่าตัวเองเสนอทางถอยถึงที่สุแล้ว แต่สุดท้ายข้อเสนอเหล่านั้นก็หายไปกับสายลมในที่สุด ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากข้อความที่ส่งไปแม้แต่น้อย


แม้ ว่าการต่อรองโดยอาศัยเชิงสัญลักษณ์อย่างการใส่เสื้อสีชมพู ซึ่งตามปกติจะไม่ได้พบเห็นการใส่เสื้อสีนี้นัก ซึ่งตามปกติจะใส่เสื้อสีแดงเวลาโฟนอินหรือถ่ายทอดภาพหรือถ้าไปสถานที่ต่างๆ ก็จะใส่เสื้อสีพื้นๆขาวๆ ซึ่งล่าสุดกลับใส่เสื้อสีขมพูว่าเป็นภาพถ่ายที่มอนเตเนโกรพร้อมกับจดหมายที่ มีข้อความในเรื่องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมพร้อมกับการออกตัวในเรื่องการ พบนักการเมืองจากหลายประเทศ เพื่อแสดงออกถึงอิทธิพลของตัวเองว่ายังพอมีอยู่ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกแต่อย่าง ใด ซึ่งสารที่ต้องสื่อไปนั้นอาจบ่งบอกได้อย่างหนึ่งว่าพตท.ทักษิณยังไม่ยอมแพ้ อย่างแน่นอนเพียงรอจังหวะเท่านั้น และยังบอกเป็นนัยว่า ตัวเองยังแข็งแรงพร้อมกับให้ความเคารพในสถาบันที่ตนเองเคารพอยู่



ล่า สุดทีมทนายของทักษิณหรือก็คือสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ ได้ออก สมุดปกขาว “การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ: ข้อเรียกร้องต่อการแสดงความรับผิดชอบภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศ ไทยมีภาระหน้าที่ในการนำตัวฆาตกรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” โดยการออกสมุดปกขาวนี้ที่ได้รับการแปลเป็นไทยเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งราคาไว้ 100 บาท มีเลข ISBN กำกับด้วยคือ 978-974-225-912-9โดยพิมพ์ครั้งแรกในเดือนกันยายนจำนวน 5,000 เล่ม เพื่อรับกับการรำลึกถึงการรัฐประหารที่ครบรอบมา 4 ปีแล้วในเดือนเดียวกันนี้

หนังสือ เล่มนี้ได้แบ่งออกเป็น 9 บทด้วยกัน ตั้งแต่ (1) บทนำ (2) เส้นทางสู่ระบบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย (3) การขึ้นสู่อำนาจของพรรคไทยรักไทย (4) หนทางสู่การรัฐประหาร2549 (5) การฟื้นคืนชีพของระบบอำมาตยาธิปไตย (6) ฤดูร้อนอำมหิตของประเทศไทย (7) ฤดูกาลใหม่ของการปกครองโดยทหาร (8) ข้อเรียกร้องหาการรับผิด (9) บทสรุป

โดย ภายในหนังสือนั้นมีการเขียนคำนิยมโดย พตท.ทักษิณ ชินวัตรซึ่งกล่าวว่า ในปี 2549 การรัฐประหารได้พรากสิทธิในการเลือกตั้งของเราไป อันทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่พอใจ และทำให้หลายคนลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่แทนที่จะมีใครฟังเสียงกลุ่มที่ล้มล้างรัฐบาลกลับพยายามที่จะกำจัดพวกเขา ความทะยานอยากของคนกลุ่มนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง และถือเป็นการละเมิดจิตวิญาณความเป็นมนุษย์

และยังกล่าวอีกว่า ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่างไรก็ตามหากการเลือกตั้งหมายถึงว่าจะมีการปรองดองก็จะต้องตอบโจทย์ข้อ กังวลพื้นฐานที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างอำนาจประชาชนและการฟื้นฟูประเทศไทย ให้เป็นรัฐประชาธิปไตยแบบที่ไม่กีดกันกลุ่มใด ในขณะเดียวกัน เราต้องปฏิเสธการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง การไม่กีดกันผู้ใดนั้นโดยนิยามแล้วก็คือภาวะที่เป็นสันติสุขนั้นเอง


ขณะ เดียวกันยังได้กล่าวถึงว่าการที่ต้องล้มรัฐบาลไทยรักไทยในเวลานั้นเพราะว่า ต้องฟื้นฟูกลุ่มอำนาจเก่าให้กลับขึ้นมาหลังจากที่รัฐบาลไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตรเวลานั้นได้กลายเป็นสิ่งท้าทายอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่าด้วยเป็นรัฐบาล พรรคเดียวจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนไม่ต้องพึ่งพากลุ่ม อำนาจเดิมอีกต่อไป

นอกจากนั้นได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการทำหนังสือ เล่มนี้ออกมาโดยประการแรกเพื่อเน้นถึงพันธกรณีของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่าง ประเทศซึ่งรวมถึงพันธกรณีตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ ทางการเมือง (International Convenant on Civil and Political Right – ICCPR) ที่ต้องสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม ของคนเสื้อแดงสำหรับอาชญากรรมการสังหารพลเรือนกว่า 80 ราย ด้วยหน่วยงานที่เป็นกลางและเป็นอิสระเพื่อผู้รับผิดชอบจะต้องรับผิดตามที่กำ นหดโดยกฎหมายระหว่างประเทศ

ประการที่สอง เกี่ยว ข้องกับพันะกรณีของประเทศไทยในการสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิด ขึ้นในด้านสิทธิทางการเมืองหลังจากการรัฐประหารในปี 2549 และระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการประทุษร้ายประชาชนพลเรือนที่ไร้อาวุธอย่างเป็นระบบซึ่งอาจเข้าข่าย อาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามธรรมนูญกรุงโรมซึ่งกำหนดจัดตั้งศาลอาญาระหว่าง ประเทศในกรุงเฮก แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้ให้สัตยาบรรณไว้ก็ตาม แต่การกระทำอย่างร้ายแรงอาจเป็นเหตุผลที่เพียงพอในการเข้าสู่กระบวนการ พิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศได้

ประการที่สามคือ เพื่อ ยืนยันถึงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศของสมาชิก นปช.หลายร้อยคนที่เผชิญข้อกล่าวหาทางอาญาจากการเข้าร่วมชุมนุมของคนเสื้อแดง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองรับรองสิทธิในการ ต่อสู้คดีอย่างยุติธรรม ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิในการตรวจสอบหลักฐานอย่างอิสระผ่านทางผู้เชี่ยวชาญหรือ ทนายของตนเองภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับรัฐบาลและมีสิทธิการรวบรวมพยานหลัก ฐานเพื่อแก้ต่างให้ตนเองได้

โดยหนังสือนี้ได้อ้างถึงเอกสารและหลัก ฐานต่างๆจำนวนมากเพื่อชี้ให้เห็นว่าระบบของทักษิณได้ไปขัดขวางผลประโยชน์ของ กลุ่มอำนาจเก่าและเครือข่ายในระดับสูงซึ่งอาศัยระบบอุปถัมภ์ที่ได้บ่มเพาะมา อย่างยาวนานจนมีอิทธิพลและอำนาจที่เข้าไปมีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดินใน หลายๆด้าน และชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทักษิณได้ก้าวล่วงกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นทางการในหลายๆข้อ ที่กลุ่มอำนาจเก่าได้วางไว้จนสุดท้ายจำเป็นต้องตัดสินใจลงเพื่อทำลายล้าง พรรคไทยรักไทยและกลุ่มที่ท้าทายอำนาจเก่าให้ราบคาบในที่สุด

การออก หนังสือในครั้งนี้เป็นการรุกหนักอีกครั้งหนึ่งของทางด้าน พตท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อที่จะสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลให้ได้ โดยหนังสือถ้าได้วางแผงคงจะมีการตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายรอบ แต่ถ้าไม่ถูกวางแผงและถูกสั่งเก็บซึ่งมีแนวโน้มสูงที่เป็นไปได้ก็ยิ่งกลาย เป็นประชาสัมพันธ์ให้ดังอีกครั้งดังเช่นหนังสือหลายๆเล่มในช่วงที่ผ่านมา

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทยไปแล้ว

**************
ความเห็นหลากหลายของคนเสื้อแดงกรณีทักษิณใส่เสื้อสีชมพู คลิ้กอ่านที่นี่

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 10/01/2010 03:44:00 หลังเที่ยง   Links to this post

มติชนสุดสัปดาห์:เปิดข้อมูลใหม่กรณีสวรรคต..?



ที่มา มติชนออนไลน์

หมายเหตุไทยอีนิวส์:มติ ชนสุดสัปดาห์ได้พาดหัวบนปกเรื่อง"เปิดข้อมูลใหม่กรณีสวรรคต" ซึ่งมีความละเอียดในตอนท้ายๆบทความนี้ ซึ่งแน่นอนว่าอาจทำให้ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์และประชาชนเกิดข้อคลางแคลงต่อ รัฐบุรุษอาวุโสผู้ล่วงลับ นายปรีดี พนมยงค์ ดังนั้นไทยอีนิวส์ขอแนะนำท่านผู้อ่านได้อ่านข้อมูลเกี่ยวเนื่องในท้ายบทความ นี้ประกอบ เพื่อความงอกงามทางสติปัญญา และพิจารณาโดยแยบคาย


ในประเทศ:เปิด "ข้อมูลใหม่" กรณี "สวรรคต"

หนังสือ "เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ" ของ วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย ใช้เวลาเกือบ 2 ปี ในการรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูล

โดย ใช้เวลา 2 เดือน ในการค้นคว้าและอ่านเอกสารทุกวันเว้นวันอาทิตย์ ที่ Library of Congress, State Department Library ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. National Archives ที่แมรี่แลนด์ สหรัฐ

และใช้เวลา อีก 2 เดือน ในการค้นข้อมูล และอ่านเอกสาร ที่ The National Archives กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร

แหล่งที่ค้นคว้าถือเป็นความร่วมมือพิเศษและมีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะที่ State Department Library ณ กรุงวอชิงตัน

"เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ" เป็นหนังสือชุด 3 เล่ม ปกแข็ง

รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ บอกในวันเปิดตัวหนังสือ ว่า ในหนังสือมีข้อมูลใหม่ที่ผู้เขียนนำมาตีแผ่ให้ได้รับทราบ

เช่น กรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ในบทที่ 22 เล่ม 1 มาจนถึงบทที่ 23 ของเล่ม 2 จำนวน 132หน้า ผู้เขียนเสนอให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ทรงเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ที่ได้ออกไปสู่สายตานานาชาติ ดัง นั้น จึงทรงมีพระราชดำริให้คณะกรรมการชันสูตรพระบรมศพ มีการตั้งผู้แทนจากต่างประเทศเข้ามาร่วมชันสูตรพระบรมศพด้วย และควรใช้เครื่องมืออุปกรณ์ชันสูตรที่ทันสมัย

และเมื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศอังกฤษทั้ง 3 คนมาร่วมชันสูตรพระบรมศพแล้ว ทั้ง 3 คนได้ออกความคิดเห็นของสาเหตุการสวรรคต

ซึ่งความเห็นของทั้ง 3 คนนี้ ไม่เป็นที่เห็นชอบของรัฐบาลไทย

วิมล พรรณ ปิตธวัชชัย ได้ค้นข้อมูลจากลอนดอน ได้ข้อสรุปว่า ได้มีการโทรเลขจากสถานทูตอังกฤษในไทยไปยังลอนดอน ประเทศอังกฤษ เรื่องการเจรจาขอให้แพทย์อังกฤษงดออกความเห็นการชันสูตรพระบรมศพ

ตรงนี้คือหลักฐานใหม่ที่คนไทยจะได้รู้

ในหน้า 34 บทที่ 23 หัวข้อ "ข้อเท็จจริงในการสวรรคต" ของหนังสือ "เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ" ระบุถึงข้อมูลหนึ่ง ว่า

...คณะ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2489 ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงใส่พระราชหฤทัยในการชันสูตรพระบรมศพอยู่มาก จึงแจ้งพระราชประสงค์ไปยังคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ ว่า เมื่อจำเป็นจะต้องมีการชันสูตรพระบรมศพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ทำเสียให้เสร็จสมบูรณ์ในครั้งเดียว

และเพื่อให้ปราศจากข้อขัดข้องใดๆ ควรจะมีเครื่องเอ็กซเรย์หลายๆ เครื่อง เพื่อป้องกันการติดขัด

และ มีพระราชประสงค์ให้เชิญพันเอก เจ ไดรเบิร์ก แพทย์ใหญ่ทหารอังกฤษในประเทศไทยเข้าร่วม และควรจะมีผู้เชี่ยวชาญฝรั่งในทางอาวุธปืนเข้าร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของไทย ด้วย

ทั้งนี้ มิใช่จะไม่ไว้ใจแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไทย แต่เรื่องการสวรรคตนี้ระบือไปทั่วโลก การชันสูตรจึงควรกระทำให้สมบูรณ์ครบถ้วนในทุกๆ ทาง ย่อมเป็นหลักฐานดียิ่งขึ้น

คณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ฯ ได้สนองพระราชประสงค์โดยครบถ้วน ได้เชิญ

พันเอก เจ ไดรเบิร์ก

พันโท เอส รีส

และ ร้อยเอก ดี.ซี. คุปตา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เอ็กซเรย์ของกองทหารอังกฤษในประเทศไทย ร่วมด้วย

ส่วนผู้เชี่ยวชาญทางอาวุธปืนนั้น พันเอก เจ ไดรเบิร์ก ได้เอื้อเฟื้อจัดหามาให้

นอกจากนี้ นายแพทย์อี ซี คอร์ต นายแพทย์อเมริกันก็ยังได้เข้าร่วม พร้อมทั้งผู้แทนตำรวจไทย 1 นาย

คือ พันตำรวจโท เอ็จ ณ ป้อมเพชร ผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์หลักฐาน

คณะกรรมการแพทย์ได้เลือกตั้ง พระยาดำรงแพทยาคุณ เป็นประธาน

พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ ประธานกรรมการสอบสวนพฤติการณ์การสวรรคต จึงได้มีหนังสือเชิญไปยัง พันเอก เจ ไดรเบิร์ก ตามพระราชประสงค์นี้

ในหน้า 40 เล่มที่ 2 ของบทเดียวกัน ระบุอีกว่า

...หลัง การชันสูตรพระบรมศพแล้ว แพทย์ลงความเห็นว่า สาเหตุใดมีน้ำหนักว่าเป็นไปได้มากที่สุด ปรากฏว่า ประเด็นถูกลอบปลงพระชนม์มีน้ำหนักมากที่สุด คือ

ถูกลอบปลงพระชนม์มีน้ำหนักมากที่สุด 16 เสียง

ปลงพระชนม์เองมีน้ำหนักมากที่สุด 4 เสียง

อุปัทวเหตุมีน้ำหนักมากที่สุด 2 เสียง

ความ เห็นของคณะแพทย์และข้อเท็จจริงบางประการในการทดลองในการยิงศพล่วงรู้ไปถึง หนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น หนังสือพิมพ์เสรี ฉบับวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2489 ลงตีพิมพ์พาดหัวว่า หมอลงความเห็นว่าถูกลอบยิง ไม่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน...

ค่ำวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2489 นายแพทย์หลวงนิตย์เวชวิศิษฐ์ ถูก นายปรีดี พนมยงค์ เรียกไปต่อว่าสองเรื่อง คือ เรื่องที่นายแพทย์หลวงนิตย์ฯ แจ้งให้ที่ประชุมแพทย์ทราบว่า นายปรีดีเป็นผู้แนะนำและให้คำปรึกษาในการออกแถลงการณ์ฉบับแรกของสำนัก พระราชวัง ว่า พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเสด็จสวรรคตโดยอุปัทวเหตุ

และ เรื่องแพทย์ลงความเห็นถึงสาเหตุแห่งการสวรรคต นายปรีดีมีความเห็นว่าแพทย์ควรรายงานเพียงว่า ถูกอาวุธเข้าข้างไหน ออกทางไหน ถูกส่วนใด และเป็นเหตุให้ตายหรือไม่เท่านั้น ซึ่งนายแพทย์หลวงนิตย์เวชวิศิษฐ์ก็เห็นพ้องด้วย

ในขณะที่ก่อนหน้านี้ นายปรีดี พนมยงค์ ได้เรียก นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลวงอดุลย์เดชจรัส และ นายดอล ที่ปรึกษาการคลังไปพบ

นายปรีดีบอกนายดิเรก ว่า ได้ทราบว่ามีการยุยงแพทย์ฝรั่งให้เล่นการเมืองนอกเหนือหน้าที่แพทย์

ทั้ง 4 คน คือ นายปรีดี นายดิเรก หลวงอดุลย์เดชจรัส และนายดอล เห็นพ้องต้องกันว่า แพทย์ควรทำหน้าที่ชันสูตรพระบรมศพอย่างเดียว ไม่ควรออกความเห็นเรื่องสาเหตุ นายปรีดีได้ใช้ให้นายดิเรกและนายดอล ไปแจ้งให้เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยทราบ ในที่สุดแพทย์กองทัพอังกฤษจึงได้ขอถอนความเห็น โดยนายแพทย์ไดรเบิร์ก (ซึ่งได้รับเชิญร่วมชันสูตรพระบรมศพ ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน) แจ้งแก่พระยาดำรงแพทยาคุณ ว่า จำต้องถอนความเห็นเพราะเป็นทหารต้องปฏิบัติตามวินัย

ดังรายงานของ สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย รายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษที่ลอนดอน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2489 เรื่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ไปเจรจาขอให้ทูตอังกฤษประจำประเทศไทยห้ามแพทย์ชาวอังกฤษที่ไปร่วมเป็น กรรมการชันสูตรพระบรมศพ ออกความเห็นสาเหตุแห่งการสวรรคต ดังนี้

โทรเลขฉบับนี้เป็นความลับอย่างที่สุดและควรเก็บไว้โดยผู้รับที่มีอำนาจหน้าที่เท่านั้น ไม่ให้ส่งต่อ

แจกในคณะรัฐมนตรี

F.9488 จากกรุงเทพฯ ถึงกระทรวงการต่างประเทศ

Mr.Thompson วันที่ 26 มิถุนายน 2489

No.851

ด่วน

โทรเลขของผมเลขที่ 834

"......... มีการเชื่อกันอย่างกว้างขวาง (ซึ่งก็มีเหตุผล) ว่าคณะกรรมการแพทย์ที่สอบสวนกรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อน กำลังจะรายงานโดยเสียงข้างมากเป็นการถูกปลงพระชนม์ จริงๆ แล้วในการลงคะแนนเสียงวันนี้ เมื่อคณะกรรมการยอมรับถ้อยคำต่างๆ ในรายงานแล้ว 16 เสียงเห็นว่าเป็นการถูกปลงพระชนม์ 4 เสียงเป็นอัตวินิบาตกรรม และ 2 เสียงเป็นอุบัติเหตุ ตัวเลขเหล่านี้ไม่รวมนายทหารอังกฤษ 4 คนผู้ปฏิเสธที่จะออกความเห็นใดๆ

2. คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้เพื่อลงลายมือชื่อในรายงาน สมมติว่าระหว่างขณะนี้กับพรุ่งนี้กรรมการจะไม่เปลี่ยนใจ (ตกเป็นเหยื่อของความรวนเร) การเผยแพร่รายงานฉบับนี้จะต้องก่อให้เกิดความตื่นเต้นในระดับสูงสุดทีเดียว ผลจะเป็นอย่างไรนั้น ยากที่จะคาดได้ ผมทราบว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศนั้นกังวลใจมาก เพราะรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศมาพบผม โดยไม่ได้บอกล่างหน้าเมื่อคืนนี้ ด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ผมช่วยพูดกับชาวอังกฤษสามคนในคณะกรรมการชุดนี้ ผมบอกท่านว่า ผมไม่ (ย้ำ ไม่) สามารถชักจูง Colonel Driberg หรือเพื่อนร่วมงานสองคนของเขาได้ แต่ผมจะแนะนำให้เขาอยู่ภายในกรอบของเงื่อนไขตั้งแต่ต้นที่เชิญให้เป็น กรรมการ อันที่จริงนี่คือสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติมา

ในเรื่องนี้ผมขอยกข้อความที่ Colonel Driberg ยืนยันว่าจะใส่ไว้ในรายงานของคณะกรรมการ (เริ่มต้น)

Colonel Driberg, Lieutenant - Colonel Rees และ Captain Gupta ไม่ออกความเห็นว่า การสวรรคตสืบเนื่องมาจากการปลงพระชนม์ อัตวินิบาตกรรมหรืออุบัติเหตุ วิธีดำเนินการนี้ เป็นไปตามข้อตกลงในหนังสือเชิญ (ได้แนบสำเนาฉบับแปลมาด้วย) ว่าขอให้มาเป็นกรรมการเพื่อช่วยในการชันสูตรพระบรมศพเท่านั้น

พวกเขา รู้สึกว่าสามารถให้ความเห็นด้านการแพทย์จากข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ได้มา จากการชันสูตร แต่รู้สึกว่าจะเป็นการไม่เหมาะสมและนอกเหนืออำนาจที่จะให้พวกเขาออกความเห็น มากไปกว่านั้น (จบ)...."


นอกจากนี้ ในหน้า 128 เล่มที่ 2 วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย ระบุว่า

มี รายงานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งที่สถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทยรายงานไปยัง กระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรที่ลอนดอน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2489

ความว่า

ลับเฉพาะ

F 1812/327/40 กรุงเทพฯ

No.305 วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2489

From Mr.Thompson

To Mr.Bevin

12 th December 1946


ผม คิดอยู่บ่อยครั้งถึงถ้อยคำของรัฐบุรุษอาวุโสที่ไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะ กล่าวออกมา ซึ่งนายดอลที่ปรึกษาทางด้านการคลัง ได้ยินคำพูดนี้เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ว่า กษัตริย์ไม่ควรเข้ามายุ่งกับการเมือง สองวันต่อมาพระเจ้าอยู่หัวอานันท์ก็สวรรคตอย่างโหดร้าย และมีการกระซิบกระซาบในประเทศ ว่าเป็นการซ้ำรอยเหตุการณ์ร้าย ณ ขั้นบันไดทางขึ้นโบสถ์แคนเทอร์เบอรีที่ ทอมัส อะ เบ็กเก็ต ถูกสังหาร

ผมจะส่งสำเนารายงานนี้ไปยังกรุงเบิร์น และสิงคโปร์

G.H. Thompson



ข้อมูล ที่ปรากฏใน "เอกกษัตริย์ ใต้รัฐธรรมนูญ" ของ วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย ข้างต้น ต้องถือว่าเป็น "ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง"

แน่นอน ฝ่ายที่รู้ข้อมูลในด้านของ นายปรีดี พนมยงค์ อาจมองต่างมุมและอาจมีข้อมูล "อีกด้านหนึ่ง"

ต้องติดตามต่อไป ว่าจะมีปฏิกิริยาต่อหนังสือและข้อมูลนี้อย่างไร

*********
บทความเกี่ยวเนื่อง:

-เปิดบันทึกหลักฐานว่าเจ้านายชั้นสูงเห็นด้วยกับการออกประกาศว่ากรณีสวรรคตเป็นอุบัติเหตุเพื่อรักษาพระเกียรติ ร.8

-วิกฤตในบั้นปลายรัชกาลของราชอาณาจักรไทย:ปริศนากรณีสวรรคต ตอนที่ 1 : ฉาก

-วิกฤตในบั้นปลายรัชกาลของราชอาณาจักรไทย:ปริศนากรณีสวรรคต ตอนที่ 2 : ในหลวงอานันท์ยิงพระองค์เอง หรือ ถูกผู้อื่นยิง

-วิกฤตในบั้นปลายรัชกาลของราชอาณาจักรไทย:ไขปมปริศนากรณีสวรรคต

-เปิดบันทึกช่วยจำของเคนเน็ต แลนดอน เกี่ยวกับ กรณีสวรรคต และข่าวลือเรื่องแผนการใหญ่ของ ควง และ "พี่น้องปราโมช"

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 10/01/2010 12:21:00 หลังเที่ยง   Links to this post

มวลชนเสื้อแดงไม่นั่งรอความยุติธรรมอีก พวกเขาออกปฏิบัติการเดินทางไปตามล่าหามันด้วยตัวเอง


91วัน แฉ91ศพ-คาราวาน ทัวร์นกขมิ้น ใครฆ่าประชาชน การปราศรัยภาคประชน แฉทุกคลิป วินาทีลั่นกระสุน"ราชประสงค์ที่นี่มีคนตาย" การปราศรัยภาคประชาชน "เพื่อนเอ๋ย..."มึงเคยเดียวดายใช่ไหม วันนี้กูจักอยู่ โดยมอบทุกลมหายใจ เพื่อไล่เผด็จการที่มึงเกลียด ให้ดวงวิญญาณของมึง


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
1 ตุลาคม 2553

มวล ชนคนเสื้อแดงไม่ยอมนั่งรอความยุติธรรมให้เดินทางมาหา หลังการปราบปรามนองเลือดผู้เรียกร้องประชาธิปไตย 19 พฤษภาคมผ่านไปนาน 4 เดือน โดยยังไม่มีการดำเนินคดีกับผู้สังหาร และผู้สั่งการเข่นฆ่าประชาชน ซ้ำยังมีการคุมขังคุกคามไร้การปรองดองตามปากอ้าง โดยได้พากันเปิดโครงการแสวงหาสัจธรรมด้วยตนเอง ซึ่งตอนนี้มีการเปิดโครงการ"ทัวร์นกขมิ้นทั่วไทย91วัน91แฉ"

ส่วนอีกโครงการคือ"เส้นทางสีแดง"ที่จะจัดรณรงค์ตลอดเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

กลุ่มผู้ดำเนินการโครงการ91วันแฉ91ศพ ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ว่า การณ์นี้เป็นการร่วมมือร่วมใจของคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันซึ่งคิดต่างจาก รัฐบาล โดยปราศจากแกนนำ หรือนักการเมือง หากแต่บุคคลต่าง ๆ ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันกับประชาชนคนเสื้อแดงมีความประสงค์จะร่วมเสวนา ปราศรัย หรือร่วมกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมใด ให้เข้าร่วมและเป็นไปในลักษณะผู้ที่มีความคิดสอดคล้องกันในอุดมการณ์ในการ แสดงออก เพื่อให้การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตยอันบริสุทธิ์ซึ่ง เกิดจากประชาชนโดยแท้จริง
(ดูรายละเอียดคลิ้กที่ภาพด้านล่าง)


เชิญร่วมโครงการเส้นทางสีแดงจากคลองเปรมสู่11จังหวัดอีสาน860กม. เยียวยา+ตามหายุติธรรม


โครงการ เส้นทางสีแดง (Red Path Project)ขอเชิญร่วมขบวนเดินเท้า และปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯสู่อีสาน นำกำลังใจและความช่วยเหลือสู่พี่น้องเสื้อแดงอีสาน 11 จังหวัด 860 กม. 1-30 พย.นี้ แวะเยี่ยมผู้ต้องขัง ร่วมทำกิจกรรมผูกผ้าแดง วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำ นำเงินทองสิ่งของบริจาคมอบให้พี่น้องเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำนปช.ฯลฯ และรณรงค์สู่ระดับนาชาติ


ขณะที่อีกกลุ่มได้เปิดโครงการกิจกรรมคล้ายๆกันชื่อ โครงการเส้นทางสีแดง (Red Path Project) ร่วมขบวนเดินเท้า และปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯสู่อีสาน นำกำลังใจและความช่วยเหลือสู่พี่น้องเสื้อแดงภาคอีสาน 11 จังหวัด 860 กม. 30 วัน (1-30 พ.ย.53)แวะเยี่ยมครอบครัวผู้สูญเสีย เผยแพร่ความจริง ร่วมทำกิจกรรมผูกผ้าแดง วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำ นำเงินทองสิ่งของบริจาคมอบให้พี่น้องเสื้อแดง

จุดประสงค์ของการเดินทางเพื่อ :

1. เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำนปช.และผู้ต้องขังคดีชุมนุมทั่วประเทศ
2. ต่อต้านระบบ 2 มาตรฐานทางกฏหมาย
3. เรียกร้องให้นานาชาติตระหนักถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงหลังรัฐประหาร 19 กันยา 49


โครงการ นี้มีภารกิจที่จะรวบรวมรายชื่อผู้ต้องขัง และครอบครัวผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ ส่งมอบให้กับคณะกรรมการกาชาดสากล (International Committee of the Red Cross : ICRC) เมือสิ้นสุดโครงการ เพื่อให้องค์กรต่างชาติได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและเยี่ยวยาบุคลลเหล่านี้ และเพื่อให้ต่างชาติได้ตระหนักถึงภัยของการรัฐประหาร และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

รยะเวลา : 1-30 พย. 2553

เส้นทาง : กรุงเทพฯ (เริ่มจากเรือนจำคลองเปรม) ไปปทุมธานี อยุธยา สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น(บ้านไผ่) มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ สกลนคร อุดรธานี หนองคาย (สิ้นสุดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว)

รวมระยะทาง : 900 กม.

โดย กลุ่มเส้นทางสีแดง ( Red Path Group : RPG )


โครงการ นี้มีบก.ลายจุด-คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นที่ปรึกษา และมีคุณ David Conor Purcell เสื้อแดงชาวออสเตรเลียที่ถูกจับกุมคุมขังนาน3 เดือน และได้เดินทางกลับประเทศออสเตรเลีย เป็นสมาชิกของทีม และเป็นที่ปรึกษา

ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้ประชาสัมพันธ์โครงการต่อพี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ออสเตรเลีย เพื่อระดมทุนช่วยเหลือสนับสนุนโครงการ

ท่านจะเข้าร่วมโครงการได้อย่างไร?-โครงการ นี้ต้องการคนเสื้อแดงที่จะเข้าร่วมเดินทางนำน้ำใจและความช่วยเหลือไปสู่พี่ น้องเสื้อแดงอีสานตามรายละเอียดข้างต้น โดยขอความกรุณากระจายข่าวนี้ออกไปด้วย

ผู้ที่สนใจขอให้ติดต่อคุณฟอร์ด ได้ทางอีเมล์ red_truth_only@hotmail.co.th หรือที่ 081-5836964 หรือ Face Book ของ 'เรด ทรู้ธ'

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 10/01/2010 10:44:00 ก่อนเที่ยง   Links to this post

เชิญร่วมโครงการเส้นทางสีแดงจากคลองเปรมสู่ 11 จังหวัดอีสาน 860 กม. เยียวยา+ตามหายุติธรรม



โครงการ เส้นทางสีแดง (Red Path Project)ขอเชิญร่วมขบวนเดินเท้า และปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯสู่อีสาน นำกำลังใจและความช่วยเหลือสู่พี่น้องเสื้อแดงอีสาน 11 จังหวัด 860 กม. 1-30 พย.นี้ แวะเยี่ยมผู้ต้องขัง ร่วมทำกิจกรรมผูกผ้าแดง วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำ นำเงินทองสิ่งของบริจาคมอบให้พี่น้องเสื้อแดง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำนปช.ฯลฯ และรณรงค์สู่ระดับนาชาติ


โครงการเส้นทางสีแดง (Red Path Project) ร่วมขบวนเดินเท้า และปั่นจักรยานจากกรุงเทพฯสู่อีสาน นำกำลังใจและความช่วยเหลือสู่พี่น้องเสื้อแดงภาคอีสาน 11 จังหวัด 860 กม. 30 วัน (1-30 พ.ย.53)แวะเยี่ยมครอบครัวผู้สูญเสีย เผยแพร่ความจริง ร่วมทำกิจกรรมผูกผ้าแดง วางดอกไม้แดงหน้าเรือนจำ นำเงินทองสิ่งของบริจาคมอบให้พี่น้องเสื้อแดง

จุดประสงค์ของการเดินทางเพื่อ :

1. เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำนปช.และผู้ต้องขังคดีชุมนุมทั่วประเทศ
2. ต่อต้านระบบ 2 มาตรฐานทางกฏหมาย
3. เรียกร้องให้นานาชาติตระหนักถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงหลังรัฐประหาร 19 กันยา 49


โครงการ นี้มีภารกิจที่จะรวบรวมรายชื่อผู้ต้องขัง และครอบครัวผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ ส่งมอบให้กับคณะกรรมการกาชาดสากล (International Committee of the Red Cross : ICRC) เมือสิ้นสุดโครงการ เพื่อให้องค์กรต่างชาติได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและเยี่ยวยาบุคลลเหล่านี้ และเพื่อให้ต่างชาติได้ตระหนักถึงภัยของการรัฐประหาร และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

รยะเวลา : 1-30 พย. 2553

เส้นทาง : กรุงเทพฯ (เริ่มจากเรือนจำคลองเปรม) ไปปทุมธานี อยุธยา สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น(บ้านไผ่) มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ สกลนคร อุดรธานี หนองคาย (สิ้นสุดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว)

รวมระยะทาง : 900 กม.

โดย กลุ่มเส้นทางสีแดง ( Red Path Group : RPG )


โครงการ นี้มีบก.ลายจุด-คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นที่ปรึกษา และมีคุณ David Conor Purcell เสื้อแดงชาวออสเตรเลียที่ถูกจับกุมคุมขังนาน3 เดือน และได้เดินทางกลับประเทศออสเตรเลีย เป็นสมาชิกของทีม และเป็นที่ปรึกษา

ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้ประชาสัมพันธ์โครงการต่อพี่น้อง