prachatai July 25, 2010
กิจกรรมวันอาทิตย์สีแดงที่สวนลุมพินี 25 ก.ค. 2553
Category:
News & Politics
Tags:
Lumpini Park
วันอาทิตย์สีแดง
เสื้อแดง
นปช
http://downmerng.blogspot.com http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553 http://www.112victims.org/ http://www.thaifreenews.org/ http://chirpcity.com/bangkok/3 http://www.radaroo.com/ http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html https://hotspotshield.com, https://redpower-sm-germany.com, https://konthaiuk.com,https://nonlaw.7forum.net https://www.redshirtinternational.org,
prachatai July 25, 2010
กิจกรรมวันอาทิตย์สีแดงที่สวนลุมพินี 25 ก.ค. 2553
Category:
News & Politics
Tags:
Lumpini Park
วันอาทิตย์สีแดง
เสื้อแดง
นปช
| ยื่นฟ้องมา ร์ค-13 บิ๊ก 10 เมย.เลือด thaiuknews | July 23, 2010 at 10:34 am | Categories: ข่าวจากสื่อกระแสหลัก | URL: http://wp.me/pQONk-TR |
ใช้อาวุธสลายม็อบ แดง รบ.ญี่ปุ่นจี้คดีฆ่านักข่าว
คดี 10 เม.ย. - ทนายความโชว์ภาพนายบดินทร์ วัชโรบล ที่ถูกทหารยิงบาดเจ็บ และมอบอำนาจให้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ให้ดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวก 13 คน ข้อหาพยายามฆ่าในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. |
นักข่าวอิสระยื่นฟ้องรูดทั้ง "มาร์ค-เทือก-ประ วิตร-ป๊อก" รวมทั้งทีมงานศอฉ.รวม 13 คน ข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกาย เผยเข้าไปถ่ายรูปทำข่าวเหตุการณ์สลายม็อบที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 10 เม.ย. โดนทหารยิงเข้าท้องสาหัสขณะกำลังเข้าไปช่วยทหารที่บาดเจ็บ ตอนนี้หัวกระสุนยังฝังในลำไส้ ผ่าตัดออกไม่ได้ ระบุทหารใช้อาวุธสงคราม-รถถัง-ฮ.เข้าสลายม็อบ ไม่ใช่ตามหลักสากล ทำให้มีคนตายจำนวนมาก ทนายยันมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายเหตุการณ์ ระบุจะมีเหยื่อทยอยเข้าฟ้องศาลอีก 30 ราย รัฐบาลญี่ปุ่นจี้รัฐบาลไทยแจงผลสอบคดีนักข่าวยุ่นสังกัดรอยเตอร์ถูกยิงตาย ที่คอกวัว เพราะ 3 เดือนแล้วคดีไม่คืบ องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนก็จี้เปิดรายงานสอบคดีนักข่าวอิตาลีถูกยิงตาย เช่นกัน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 ก.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายบดินทร์ วัชโรบล ผู้สื่อข่าวอิสระ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.), พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลา โหม, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ., พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ., พ.อ.สรร เสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ., นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1, พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ., พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.2 รอ.), พ.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้บังคับการ ร.21 รอ., พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิ์เดช ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 12 (ร.12 พัน 2) และพ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ ผบ.ม.พัน 3 รอ. เป็นจำเลยที่ 1-13 ในความผิดฐานพยายามฆ่า และทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289
ตามฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 จำเลยที่ 1 และผู้ที่เกี่ยวข้องสั่งการให้ใช้กำลังทหาร พร้อมอาวุธยุทธภัณฑ์ เข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันบริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้าฯ โดยมีอาวุธปืนและกระสุนจริงในการปฏิบัติการ จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งโจทก์เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะทำหน้าที่บันทึกภาพอยู่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยระหว่างเหตุการณ์ สลายการชุมนุม ถูกทหารใช้อาวุธและกระสุนจริง ยิงเข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งปัจจุบันกระสุนปืนยังฝังอยู่ในร่างกาย ไม่สามารถผ่าตัดนำกระสุนออกมาได้ โดยศาลรับเป็นคดีหมายเลขดำที่อ.2267/2553 นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 13 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
นายอุดมกล่าวว่า นายบดินทร์ต้องการใช้สิทธิ์ทางศาล เพื่อฟ้องดำเนินคดีเอง เพราะก่อนหน้านี้เคยเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง แล้วเป็นเวลากว่า 3 เดือน ไม่มีความคืบหน้า ทั้งนี้ นายบดินทร์ยืนยันว่าเห็นทหารใช้อาวุธปืนและกระสุนจริงยิงเข้าใส่ประชาชนจน ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งเหตุที่นายบดินทร์ถูกกระสุนยิงใส่เพราะเข้าไปช่วยเหลือทหารที่นอนได้รับ บาดเจ็บ โดยนายบดินทร์ต้องการให้พิสูจน์ความจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยกระบวนการ ยุติธรรมว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจากการใช้อาวุธสงครามเข้าสลายชุมนุม อย่างไรก็ดี ขณะนี้นายบดินทร์มาพักอยู่ที่บ้านแล้วกระสุนยังฝังอยู่ในลำไส้เล็กผ่าตัดออก ไม่ได้
นายอุดมกล่าวอีกว่า สัปดาห์หน้าจะทยอยยื่นฟ้องอีก เนื่องจากขณะนี้รวบรวมหลักฐานเพิ่มโดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกประมาณ 30 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ให้ข้อมูลร้องเรียนพรรคเพื่อไทย แต่ทั้งนี้ยืนยันการทำหน้าที่ยื่นฟ้องไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ส่วนการยื่นฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายนั้นก็จะพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องตนเตรียมซีดีที่บันทึกภาพเหตุการณ์ และใบรับรองแพทย์เสนอต่อศาลด้วย นายอุดมกล่าวว่า ศาลอาญานัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 13 ก.ย.นี้ ตนจะนำพยานบุคคลจำนวน 10 ปากขึ้นให้การต่อศาล เพื่อแสดงให้เห็นว่าการกระทำของนายอภิสิทธิ์ และพวก เป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ มีการใช้อาวุธหนัก เช่น ปืนกระสุนสายพาน รถถัง และเฮลิคอปเตอร์ ถึงนายกฯ จะใช้คำพูดสวยหรูว่าเป็นการขอคืนพื้นที่ แต่ประชาชนก็รู้ๆ กันอยู่ว่าคือการสลายการชุมนุมนั่นเอง
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความมั่น ใจในการดำเนินคดี นายอุดมกล่าวว่า อยากให้ดูเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เข้าไปปิดล้อมอาคารรัฐสภาแล้วถูกตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมจนมีผู้เสีย ชีวิต 1 ราย ถึงแม้ภายหลังจะมีการพิสูจน์ได้ว่าเสียชีวิตจากระเบิดปิงปอง แต่ทาง ป.ป.ช.ก็ยังชี้มูลความผิดต่อผบ.ตร.และผบช.น. ในสมัยนั้น แต่ครั้งนี้ลูกความตนมีทั้งภาพถ่ายและภาพวิดีโอที่สามารถแสดงให้เห็นชัดเจน ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักสากลของการสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก และคู่มือราชการสนามของกองทัพบก เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุม ผู้ชุมนุมก็ต้องป้องกันตัว ซึ่งผู้ชุมนุมมีแค่เสาธง แต่เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืน
นายอุดมกล่าวต่อว่า สำหรับนายบดินทร์ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมด้วย แต่ไปสังเกตการณ์ เป็น ผู้สื่อข่าวอิสระ โดยถ่ายภาพเหตุการณ์การชุมนุมอยู่บริเวณข้างโรงเรียนสตรีวิทยา ถูกยิงขณะ กำลังจะเข้าไปให้การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่กลางถนน แต่กลับถูกทหารที่ตั้งแถวอยู่ห่างออกไปยิงใส่ กระสุนถูกบริเวณท้องและไปฝังอยู่ข้างลำไส้เล็ก แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดเอากระสุนออกให้ได้ ต้องปล่อยเอาไว้อย่างนั้น ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมาน ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ
วันเดียวกัน เอเอฟพีรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นทวงถามความคืบหน้ากับประเทศไทยกรณีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น สังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์ วัย 43 ปี ที่ถูกมือปืนไม่ทราบฝ่ายยิงเข้าที่หน้าอกในระหว่างทำข่าวการชุมนุมประท้วง ของกลุ่มคนเสื้อแดงปะทะกับทหารในกรุงเทพฯ หลังจากเรื่องผ่านมาแล้ว 3 เดือน
นายฮิเดโนบุ โซบาชิมะ รองเลขาธิการฝ่ายสื่อมวลชนของญี่ปุ่น กล่าวในที่ประชุมด้านความมั่นคงอาเซียนที่เวียดนามว่า เราหวังว่าจะได้รับข้อมูลความคืบหน้าในเร็ววันนี้ ญี่ปุ่นเข้าใจรัฐบาลไทยว่าจะทำเท่าที่ทำได้ แต่คาดว่าในการพบกันระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของสองฝ่าย ไทยจะแสดงความเอาใจใส่ประเด็นนี้อีกครั้ง
ด้านองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนออกรายงานในเดือนนี้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทยเผยแพร่รายงานฉบับ สมบูรณ์เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายมูราโมโตะ และนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลี สองช่างภาพชาวต่างชาติที่ถูกสังหารในระหว่างเหตุการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนเม.ย.และพ.ค. ให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ โดยในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารและกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่10 เม.ย. มีผู้บาดเจ็บ 90 คน ในจำนวนนี้เป็นสื่อมวลชน 10 คน
วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7176 ข่าวสดรายวัน
| WordPress.com | Thanks for flying with WordPress! |
Trouble clicking? Copy and paste this URL into your browser: http://subscribe.wordpress.com
A state of emergency, imposed in Thailand to quell violent anti-government protests, has been extended for another three months in 19 provinces, including the capital, over fears of fresh violence.
The emergency law was extended in Bangkok and much of the north and north-east on the recommendation of the Center for the Resolution of Emergency Situations.
At the same time, the government revoked the three-month-old decree in five other provinces -- Si Sa Ket, Nan, Kalasin, Nakhon Pathom and Nakhon Sawan -- saying security conditions there had improved.
Emergency law gives sweeping powers to the security forces and bans public gatherings of more than five people. Under the law, suspects can be detained for 30 days without charge.
Tourism and Sports Minister Chumpol Silpa-Acha said he did not expect the Cabinet decision would significantly affect the country's vital tourist industry.
A state of emergency was enforced in the capital and nearby provinces after anti-government demonstrators stormed the country's Parliament on April 7.
On May 19, the so-called 'Red Shirt' leaders called off the months-old violent anti-government demonstrations after a military crackdown killed several protesters and wounded others, including foreigners.
Several UDD leaders are in police custody on various charges, including breaking emergency law, terrorism and criticizing the monarchy.
The military operation was the government's last resort to break up the stand-off that paralyzed parts of Bangkok since March 12 as thousands of demonstrators have been vowing to continue the protests until Prime Minister Abhisit Vejjajiva steps down, dissolves Parliament and calls fresh elections.
Abhisit, who had restrained for long calling on his political opponents to find a solution to the turmoil through negotiations, proposed a peace plan that dissolves the Parliament by September 30 and holds elections on November 14.
The protesters, mainly supporters of exiled former Prime Minister Thaksin Shinawatra, have been continuing the protests even after Abhisit yielded to their demands.
Abhisit backed out of his proposal, as the United Front for Democracy Against Dictatorship (UDD) refused to leave its protest site, prompting authorities to announce a crackdown on the movement.
“ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!”
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อต้นเดือนนี้ ผมได้อ่านข่าว มติชนออนไลน์ (ที่ 04พฤษภาคม พ.ศ. 2553) นายมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ "เดอ สปีเกล" (Der Spiegel) ของเยอรมัน โจมตีประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า เป็น
Mafia state
โดยท่านผู้นำคนดัง กล่าวหาประเทศสวิส ว่า
เป็นหน่วยงาน ‘ก่อการร้าย’ และเป็น ‘แก๊งค์มาเฟีย’ มีพฤติกรรมฟอกเงิน และมีกฎหมายหลอกลวงชาวโลก ซึ่งอนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถรับการปลิดชีพจากแพทย์ได้ แต่แท้จริงต้องการเงินสดของคนเหล่านี้เข้าบัญชีธนาคารของประเทศ โดยสวิตเซอร์แลนด์ สมควรจะถูกฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมัน โดดเดี่ยวด้วย
สำหรับคนบ้านเรานั้น ชอบใช้คำว่า “มาเฟีย” ไปในความหมายถึงพวก “แก๊ง” อันธพาลหรือนักเลงหัวไม้ ที่หาประโยชน์โดยมิชอบ และมีสันดานส่อไปในทางขอบ ‘รังแก’ หรือข่มเหงคนอื่น เพื่อปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนตามอาชีพ เช่น “มาเฟียคิวรถ” , “มาเฟียวงการม้า-มวย” แม้กระทั่งคนพิการที่ขายสลากกินแบ่ง ที่ทางกองสลากแบ่งโควต้าให้ ก็ยังดันมี
“มาเฟีย...ล๊อตเตอรรี่”
เมื่ออ่านคำสัมภาษณ์นี้แล้ว ทำให้ผมนึกไปถึงบทความเกี่ยวกับ “มาเฟีย” ที่เคยเขียนลงในเว็บไซด์ ‘ผู้จัดการ’ เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งในตอนนั้นแก๊ง “ไอ้บัง กบฏ” ยังเรืองอำนาจอยู่ โดยให้ชื่อตอนที่เขียนว่า
“จ่าตำรวจ-มาเฟีย!”
วันนี้ จะขอนำบางส่วนของบทความดังกล่าว มาลงไว้เพื่อให้ท่านผู้อ่าน เข้าใจเรื่ององค์กรอาชญากรรมอมตะ ที่ผู้คนเรียกขานหรือรู้จักกันในชื่อ “มาเฟีย”
ผมเขียนเอาไว้ อย่างนี้ครับ
...ตัวผมสนใจและติดตามเรื่องของ ‘มาเฟีย’ มาตลอด เพราะเคยถูกส่งไปต่างประเทศ เพื่อร่ำเรียน เกี่ยวกับวิธีการสอบสวน เพื่อรับมือ และจัดการเกี่ยวกับการค้นหาเส้นทางเรื่องการเงิน ขององค์กรที่ลือชื่อนี้ด้วย
ผมได้สร้างหลักสูตร วิชาการสอบสวนคดีเศรษฐกิจ ขึ้นเป็นครั้งแรกให้กับกรมตำรวจ เขียนตำราการสอบสวนคดีวิชานี้ ขึ้นมาให้ใช้กัน ทั้งบัญญัติคำใช้เรียกคำว่า Money Laundering ว่าเป็นการ “ฟอกเงิน” ขึ้นมา โดยใช้ในการบรรยายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว และถ้อยคำๆนี้ปรากฏอย่างเป็นทางการในหนังสือพิมพ์ “มติชน” รายวัน ซึ่งเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้ว
ดังนั้น ผมจึงรู้กลไกและวิธีการฟอกเงิน ซึ่งต่อมาก็ได้เดินทางไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในต่างประเทศ รวมทั้งในที่ประชุมใหญ่องค์กรตำรวจสากลด้วย เพราะเมืองไทยของเรานั้น เป็นแหล่งสำคัญที่อาชญากรต่างชาติ ได้ใช้เป็นแหล่งซุกซ่อนเงินที่ได้มาจากการกระทำผิด หรือนำมาแปรสภาพในรูปทรัพย์สินอย่างอื่น ถึงขั้นมีคำกล่าวกันว่า
“เมืองไทยเป็นสวรรค์ สำหรับอาชญากรต่างชาติ”
คำว่า Mafia หรือภาษาไทยทับศัพท์เรียกว่า “มาเฟีย” หากใช้ในความหมายของชาวฟลอเรนซ์ อิตาลี นั้น แปลว่า “คนตัวเล็กผู้น่าสงสาร” แต่ในเมืองซิซิลีที่เป็นเกาะทางใต้ คำนี้ถ้าใช้ในภาษาของชาวซิซิเลียน ซึ่งเป็นเกาะต้นกำเนิดขบวนการ“มาเฟีย” มาจากคำว่า
“mafiusu”
มีรากศัพท์มาจากภาษาอาราบิค “mahyas” คือการโม้ข่ม หรืออาจมาจากภาษาอาราบิคอีกคำหนึ่งคือ “marfud” แปลว่า “โดนปฏิเสธ” แต่ก็อาจแปลในอีกความหมายหนึ่งคือ คือ “เกียรติยศ-ความหาญกล้า” ซึ่งต่อมากลายเป็นชื่อเรียกองค์กรลับ ที่คนท้องถิ่นรวบรวมกันเป็นพันธมิตร เพื่อต่อต้านการรุกรานของทหารต่างชาติ ได้แก่ทัพพวกนอร์มันและชาวเติร์ก
เมื่อการรุกรานนั้นหมดไป องค์กรลับนี้หาได้สิ้นสุดตามลงไปด้วย แต่กลับมีวิวัฒนาการ กลายเป็นองค์กรอาชญากรรมนามกระเดื่องไปในที่สุด และเมื่อมีการหลั่งไหลของชาวอิตาเลียน เข้าไปในสหรัฐอเมริกา มาเฟียได้แพร่เชื้อติดเข้าไปด้วย พร้อมกับผู้อพยพชาวอิตาเลียนทั้งหลาย
องค์กรมาเฟียได้มาตั้งหลักปักฐาน ที่มหานครนิวยอร์ก เพราะเมื่อชาวยุโรปเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค มาขึ้นฝั่งที่นิวยอร์ก คนอิตาเลียนจำนวนมาก ได้ตั้งเลือกนิวยอร์กเป็นที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ มาเฟียได้เข้ามีส่วนเข้ามาจัดระบบชุมชน ด้วยการแทรกแซงเข้ามาในชีวิตของพวกเขา และเรียกค่าตอบแทนในการให้ความคุ้มครอง ให้ความปลอดภัย
มาเฟียก้าวถึงยุคแห่งความรุ่งเรืองสุดขีด เมื่อสหรัฐคลอดกฎหมายที่ชื่อ Volsted Act 1919 ห้ามการจำหน่ายสุรา ทำให้การค้าสุราเถื่อนเฟื่องฟู ทำเงินอย่างมหาศาล ครอบครัวมาเฟียหลายตระกูล กลายเป็นมหาเศรษฐี
ต่อมาองค์กรนี้ ได้ดำเนินธุรกิจกว้างขวางออกไป นอกจากการเรียกค่าคุ้มครองแล้ว ยังได้เข้าควบคุมและหาประโยชน์ จากธุรกิจนอกกฎหมาย เช่นบ่อนการพนัน การค้าหญิงโสเภณี การค้าของเถื่อน และมีบางพวกที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด จนแผ่ขยายเข้าไปในเมืองใหญ่อีกหลายรัฐ จนครอบคลุมไปเกือบทั่วสหรัฐ
ทายาทของแต่ละตระกูล มีบางส่วน ไม่ยอมเข้ามายุ่งในกิจการของครอบครัว เพราะไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับผู้รักษา กฎหมาย เพราะเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ชีวิตก็ไม่ปกติสุข และถอนตัวออกยาก อีกทั้งยังมีความขัดแย้งระหว่างตระกูล เกิดขึ้นเนืองๆ เพราะผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายหาจุดสมดุลไม่ได้ กลายเป็นความขัดแย้ง จนถึงเข้าฆ่าฟันกัน ถึงขั้นหนังสือพิมพ์เรียกว่า “สงคราม” หรือ “สงคราม-แก๊งมาเฟีย” กลายเป็นข่าวโด่งดัง จนมีการสร้างเป็นภาพยนตร์นับเรื่องไม่ถ้วน อย่างที่เราได้เห็นกันจนถึงยุค
การควบคุมองค์กรของมาเฟียนั้น มีตระกูลมาเฟียต่างๆแยกกันควบคุม แบ่งกันขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่หรือธุรกิจที่ถนัด โดยมีผู้นำองค์กรซึ่งปิดลับ ยากที่จะฝ่ายบ้านเมืองจะเข้าถึงตัวได้
องค์กรมาเฟียนี้ จึงกลายเป็นหนามยอกอก ของฝ่ายผู้รักษากฎหมายสหรัฐมาเนิ่นนาน และยังคงจะดำรงอยู่ต่อไปอีก โดยหาจุดจบได้ยาก
ในการขับเคี่ยวระหว่างผู้รักษากฎหมาย กับองค์กรมาเฟียนั้น มีตำรวจนายหนึ่งมียศเป็น “จ่า” ชื่อว่า ราล์ฟ ฟรานซิส ซาเลอร์โน (Ralph Francis Salerno) ซึ่งได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติยศชั้นสูง จากกรมตำรวจนิวยอร์ก
เมื่อจ่าเซอร์ลาโน ลาออกจากองค์กรผู้รักษากฎหมายนั้น ตำแหน่งสุดท้ายของเขา ก็อยู่แค่ Detective Sgt. หรือ“จ่าสายสืบ” แต่ผู้คนกลับจำได้มากกว่าตำรวจคนอื่น และยกย่องเขาในฐานะผู้รักษากฎหมาย ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการปราบปรามแก๊งมาเฟีย
จ่าซาเลอร์โนใช้เวลาของชีวิต ยาวนานถึง 20 ปี ในฝ่ายสืบสวนสอบสวนและงานด้านการข่าว เพื่อการปราบปรามอาชญากรรม ในฝ่ายสอบสวนกลางของกรมตำรวจนิวยอร์ก
ความชำนาญในสายงานการปราบปราม ในด้านองค์กรอาชญากรรมของจ่าซาเลอร์โน ทำให้คุณจ่าคนดัง ต้องกลับมาเป็นพยานผู้เชียวชาญ ในคดีธุรกิจให้กู้แบบ ‘ดอกโหด’ หรือที่เรียกกันว่า loan-sharking ทั้งการเป็นพยานให้ข้อมูลในชั้นศาล ชั้นการสอบสวนของสมาชิกรัฐสภาสหรัฐ และวุฒิสภาอีกด้วย
หลังจากที่เกษียณอายุไปในครั้งแรก เมื่อปี 1967 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกระทรวงยุติธรรมในวอชิงตัน ดี.ซี. และสำนักงานอาชญากรรมและเด็กมีปัญหาแห่งชาติ
ปี 1970 นายกเทศมนตรี จอห์น วี ลินด์ซีย์ ผู้มีชื่อเสียงแห่งมหานครนิวยอร์ก ได้เลือกเซอร์ราโน่เป็นที่ปรึกษา ในด้านการพนันของรัฐ มีหน้าที่ทำลายล้าง การแทรกซึมเข้าเจาะธุรกิจการพนันของเหล่ามิจฉาชีพ และต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งจาก Nicholas Ferraro อัยการเขตควีนส์ ให้รับผิดชอบในการสอบสวน เกี่ยวกับคดีองค์กรอาชญากรรม
ซาเลอร์โนลาออกจากการรับใช้ทางการเมื่อปี 1975 แต่ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคเอกชน
จ่าตำรวจผู้นี้ เป็นลูกชาวอิตาเลี่ยนผู้อพยพ และเกิดในแถบ Bronx ซึ่งอิทธิพลของมาเฟียแผ่ขยายแถบถิ่นกำเนิด และมีกฎสำคัญในละแวกบ้าน คือกฎแห่งความเงียบ คือชาวบ้านจะไม่ไปปริปาก หรือทำตัวเป็นเบาะแส คอยชี้เป้าให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ได้เป็นอันขาด
เจ้าตัวเล่าให้ฟัง ว่า
“เรื่องที่ผมจำได้ดีที่สุด เกิดขึ้นเมื่อตอนผมเป็นเด็ก นั่งกินข้าวอยู่ในบ้านกับครอบครัว พวกอันธพาลหลบหนีตำรวจมาทางด้านบันใดหนีไฟ ผ่านห้องที่เขากับครอบครัวอาศัยอยู่
พวกเหล่าร้ายผิวปาก ส่งสัญญาณให้เราเงียบ พวกเราจึงไม่มีใครเปิดปากบอกเจ้าหน้าที่ในเรื่องนี้
พ่อผมเล่าให้ฟังว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว อีกไม่กี่วันพ่อไปตัดผมที่ร้านประจำ ช่างในร้านส่งถุงใส่ของให้ ซึ่งพอพ่อรับมาเปิดออก ก็พบมีดโกนใหม่ แปรงสำหรับชุบสบู่โกนหนวด และถ้วยใส่สบู่โกนหนวดกาไหล่ทอง และมีตราสำนักงานสาธารณสุข ที่พ่อเป็นพนักงานประจำอยู่
นี่แสดงว่าคนพวกนี้รู้ว่า คนแถวบ้านผมใครเป็นใคร ทำงานอะไร ไม่ได้ลอดสายตาพวกนี้ไปได้”
ความทรงจำเหล่านี้เอง ที่กระตุ้นให้เขามาเป็นตำรวจ เมื่อ
ปี. 1964 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปราบปรามอาชญากรรมอย่างเต็มที่ และกลายเป็นตำรวจที่มีชื่อเสียง แม้จะไม่ได้รับยศเป็นตำรวจสัญญาบัตรก็ตาม
การที่จ่าแกจับกุมพวกมาเฟียเชื้อสายอิตาเลี่ยน เช่นเดียวกับตัวเองหลายต่อหลายคน จึงมักจะได้รับคำถามเสมอว่า
“จ่าครับ ทำไมจ่าจึงชอบจับแต่คนอิตาเลี่ยน? คนเชื้อสายเดียวกันกับจ่าแท้ๆ ไม่น่าทำกันเลย!”
จ่าซาเลอร์โนเล่าว่า
“ผมตอบมันไปว่า เอ็งกับข้ามันคนละประเภทกัน กริยาท่าทางของข้า ศีลธรรม และอีกหลายอย่างที่เป็นคุณสมบัติของข้า...มันคนละอย่างกับพวกเอ็งเฟ้ย”
ตำรวจเชื้อสายมักกะโรนี ราล์ฟ ซาเลอร์โน พูดอย่างหนักแน่นต่อไปว่า
“....สิ่งเดียวที่ข้ามีเหมือนกับพวกเอ็ง คือเราเติบโตมาจากวัฒนธรรมเดียวกัน แต่เอ็งมันเป็นไอ้พวกที่ทรยศต่อประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์เรา ซึ่งข้าภาคภูมิใจยิ่งนัก เพราะข้าเป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น (ประวัติศาสตร์ชาติและวัฒนธรรม)...”
ฟังคุณจ่าแกพูดแล้ว ให้ผมเองฉุกคิดขึ้นมา ว่า
บ้านเมืองของเรานั้น แม้ผู้คนจะเติบโตมาจากประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเดียวกัน มีความภาคภูมิใจ ในสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นคนไทยมาเหมือนๆกัน และต่างก็มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนดูเหมือนว่า บ้านเมืองเราไม่มีปัญหาเรื่องความแตกต่างนี้ เหมือนอย่างสังคมอื่นเขา (นอกจากปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)
แต่ไม่น่าเชื่อว่า
ทันทีที่พูดถึงเรื่อง ‘แนวความคิดทางการเมือง’ ของคนบ้านเราแล้ว ปัจจุบันกลับ ‘แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว’ จนยากที่จะผสมกลมกลืน เข้าเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน ยังผลจะทำให้การอยู่ร่วมกัน ต่อไปในประเทศนี้ในวันข้างหน้า
เพราะคงจะหาความเป็นปกติสุข ได้ยากเต็มที!
เราลองมาคิดดูกันเล่นๆก็ได้ ถ้าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้วาจา แบบจ่าซาเลอร์โน คือพูดแบบทิ้งทวน ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ว่า
“แม้เอ็งกับข้า จะเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่ความเชื่อของข้ากับเอ็ง มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงว่ะ...ไอ้เวรเอ๋ย ! ”
หยุดสักนิด เพื่อเพิ่มความเข้มเสียงอีกสักหน่อย แล้วพูดต่อ
“พวกข้ารักและศรัทธา ในระบอบประชาธิปไตย แต่เอ็งกับพวก มันใฝ่ใจ‘เผด็จการ’!”
แค่นี้เท่านั้น ไอ้เรื่องการที่จะมาเรียกร้องให้ ‘สมานฉันท์’ กัน....บอกได้เลยว่า
“ไม่มีทาง!!”
---
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ที่ท่านเพิ่งอ่านจบลงนั้น เป็นข้อเขียนของผม ในเว็บไซด์ ‘ผู้จัดการ’ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.2550 ไม่กี่สัปดาห์
เมื่อการเลือกตั้งจบลง ฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง และสร้างความผิดหวังให้กับพวกถือปืน เข้ายึดอำนาจประชาชน กลายเป็นพรรคดักดานซึ่งยอมอ่อนน้อม ค้อมกระบาลให้กับ...
พวกเผด็จการ นั่นเอง!
นับเป็นปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า พรรคเก่าแก่นั้น ได้รับการช่วยเหลือในการเลือกตั้งทุกรูปแบบ จากแก๊งที่ก่อกบฏ ยึดอำนาจจากประชาชน ซึ่งยังเรืองอำนาจอยู่ในเวลานั้นด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยังคิดว่า คราวนี้พรรคของพวกนายกฯทักษิณ ที่ถูกบีบอย่างหนักนั้น คงจะต้องปราชัยย่อยยับแน่ๆ
แต่.. ผลมันกลับตรงข้าม!!
เมื่อพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่หยุด ยังคงขัดขวางระบอบประชาธิปไตย ด้วยการไม่ยอมรับ และต่อต้านรัฐบาลเสียงข้างมาก ที่ประชาชนเขาเลือกมาทุกวิถีทาง ตามแผน “บันใดอัปรีย์” ของ “ไอ้บัง กบฏ” จนทำให้บ้านเมืองของเรา เคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยความยากลำบาก
เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ได้สร้างความขัดแย้งให้กับผู้คนในบ้านเมือง และดำเนินต่อมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นอย่างที่เห็นกัน และทำให้ประชาชนคนไทย
ต้องบาดเจ็บล้มตาย เป็นจำนวนมาก!!!
สถานการณ์ที่ปรากฏขึ้น ในบ้านเมืองเราขณะนี้นั้น รัฐบาลของนายมาร์ค ร้อยศพ ดูเหมือนได้เปรียบเหนือฝ่ายต่อต้าน พวกเขากำลังเปิดเกมรุก ไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่
ถึงวันนี้ พลพรรคของฝ่ายคนเสื้อแดง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ถนัด เพราะยังมีกฎหมายที่กดกระบาลอยู่ คือ “พ.ร.ก.” แต่โทษที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ที่ยกมาขู่กันนั้น ก็กะริบกะร่อย เพราะเพียงแค่โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร
ที่สำคัญก็คือ
เมื่อตัวพระราชกำหนดถูกยกเลิก หรือไม่มีการต่ออายุเมื่อใด ผู้ต้องขังที่ถูกศาลลงโทษ ก็จะต้องได้รับการปล่อยตัว เพราะการสิ้นสุดหยุดลงของกฎหมาย ส่วนผู้ที่ยังจับกุมไม่ได้ หรือไม่ได้เข้ามอบตัว คดีก็เป็นอันหมดสิ้นกันไป
สำหรับคดีอุปโลกน์ เรื่อง ‘ก่อการร้าย’ ก็มีเงื่อนเวลาจำกัดเพราะสำนวนการสอบสวน จะต้องเสร็จภายใน 2 เดือนข้างหน้า ตามอำนาจการควบคุมผู้ต้องหาของศาล ที่จะสิ้นสุดลงตามกฎหมาย
สำหรับ ‘คดีก่อการร้าย’ ที่อยู่ระหว่างการฝากขัง และอัยการจะต้องมีคำสั่งก่อนอำนาจการควบคุมสิ้นสุดลง ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่นานนัก
หากอัยการสั่งฟ้อง ก็จะต้องกินเวลาในการพิจารณากันอีกยาวนาน อย่างน้อยกว่าการพิจารณาจะสิ้นสุดลง ก็ต้องใช้เวลา
ไม่น้อยกว่า 10 ปี!
(ราคาต่อรอง สำหรับผลคดีในตลาดตอนนี้ ก็อยู่ที่ 5 ต่อ 1 ว่า แกนนำถูก ‘ยกฟ้อง’ แหงๆ!)
ผมเคยเขียนเปรียบเทียบ ความซับซ้อนของ ‘คดีก่อการร้าย’ กับคดีซื้อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ รายนั้นผู้ต้องหาแค่คนเดียว แต่ก็สู้กันยันฎีกา กว่าศาลจะลงโทษนักการเมืองของพรรคเก่าแก่ ด้วยการ จำคุก 1 ปี และตัดสิทธิ 10 ปี ได้สำเร็จ ก็กินเวลานาน
ถึง 1 ทศวรรษ
แม้แต่คดี ส.ป.ก.4-01 ซึ่งเป็นเรื่องอื้นฉาวของพรรคเก่าแก่ดักดานอีกเหมือนกัน กว่าจะเสร็จสิ้นการฟ้องเรียกที่ดินของรัฐคืนได้ ก็กินเวลายาวนาน 10 ปี เช่นกัน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคดีความการก่อการร้าย ซึ่งมีจำนวนผู้ต้องหาและพยานผู้เกี่ยวข้องมากมาย ได้รับการคาดหมายว่า
จะต้องยืดยาวเป็นหนังชีวิต โดยมีภาคต่อและภาคตาม อีกหลายตอน ซึ่งจะต้องดำเนินการในชั้นศาล โดยลากกันไปอีกอย่างยาวนาน เพราะต้องว่ากันเต็มเหนี่ยว
ไปจบกันที่...ศาลฎีกาโน่นเลย!
ดังนั้น ยิ่งเวลาทอดออกไปเนิ่นนานเท่าใด โอกาสที่บาดแผลในใจของฝ่ายที่ถูกปราบปราม ก็จะยิ่งถูกขยายให้กว้างขึ้น และกว้างขึ้น จนกลายเป็นแผลเฟอะฟะ เรื้อรัง ของชาติไทยเราไป ในที่สุดความสามัคคีของคนในชาติ ก็จะหาไม่ได้ในแผ่นดินนี้
แม้ปัจจุบันฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล จะเคลื่อนไหวกันไม่ถนัด แต่ก็มีพลวัตรที่น่าสนใจของส่วนอื่นในสังคมไทย และจะมีความแหลมคมต่อไป นั่นก็คือ
มีความเคลื่อนไหว ในมหาวิทยาลัยต่างๆอย่างกว้างขวาง ซึ่งบรรดาอาจารย์นิสิตนักศึกษา เริ่มนำข้อมูลเรื่องรัฐบาลและทหาร ใช้อาวุธ เข้าปราบปรามประชาชนอย่างเหี้ยมโหด ออกมาตีแผ่กันแล้ว หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘ไทยรัฐ’ เห็นปรากฏการณ์นี้ชัดเจน ถึงกับลงในคอลัมน์ ‘ทีมข่าวการเมือง’ หน้า 3 เมื่ออังคาร ที่ 22 มิ.ย. 2553 ว่า
...ที่เฮี้ยนจริงๆกลับกลายเป็นเสียงของนักวิชาการ ทั้งยี่ห้อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ตั้งเวทีเสวนา วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐบาลและ ศอฉ.ในการดำเนินการ กับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงแบบถึงแก่นถึงกึ๋น...
การเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเกินความคาดหมายแต่ประการใด เพราะ ‘สิทธิมนุษยชน’ นั้น พลโลกเขาถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า
องค์กรสิทธิมนุษยชน อย่างฮิวแมนไรท์วอช (ซึ่งเคยเปิดโปงเรื่อง “ศูนย์กระทืบสันติ” ที่ปักษ์ใต้จนต้องยุบศูนย์ไป) ก็มีการเข้ามาสอบสวนพยานในประเทศไทยแล้ว
กรณีของประเทศไทยนั้น มีข้อพิจารณาได้ว่า
พยานหลักฐานทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่ใช่มาจากหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะมาจากสื่อมวลชน ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ และบันทึกความเคลื่อนไหวด้วยเครื่องมือต่างๆ นั้น
ได้ชี้เป้าตรงไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ที่ออกปฏิบัติการในห้วงเวลานั้น ซึ่งรัฐบาลเอง ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า
ทหารไม่ได้ปฏิบัติการแบบหฤโหด ตามที่กล่าวหากัน หรือเป็นฝ่ายสังหารประชาชน!
ในฐานะที่ตัวผู้เขียน มีความคุ้นเคยกับการสอบสวนคดีขนาดใหญ่ ขอเรียนกับท่านผู้อ่านที่เคารพว่า
ในไม่ช้านี้ ข้อสงสัยที่ว่า ทหารเป็นผู้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะกรณีฆ่าหมู่ 6 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม จะยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น และจะเป็นภาระหนักของฝ่ายรัฐ ในการแก้ไขเหตุการณ์ต่อเนื่อง ทั้งในและต่างประเทศ
ถ้าหลักฐานฝ่ายรัฐบาล ยังง่อนๆแง่นๆ แต่ตรงกันข้ามหลักฐานของฝ่ายองค์กรอิสระ และนักวิชากลับมีมากขึ้น อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
ในที่สุดประชาชนในบ้านนี้เมืองนี้ ก็จะพากันเชื่อว่า
“กองทัพไทย มีฆาตกร!”
ถึงวันนั้น ไทยแลนด์แดนสยาม และรัฐบาลโลซกแห่งประเทศไทย ก็จะต้องตกมี “ขี้ปาก” ของชาวโลกมากยิ่งขึ้นทุกที...ทุกที!
อีกไม่นานเกินรอ อาจมีผู้นำประเทศหรือบุคคลสำคัญในองค์กรต่างของโลก ออกมาซ้ำรอย นายมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย โดยประกาศก้อง กู่ร้องให้ดังไปทั่วโลกว่า
“ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!”
............
(คอลัมน์ประจำสัปดาห์ ตอน “ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 26 มิถุนายน 2553)
--
http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2010/05/16/the-king-fades
http://thaiuknews.wordpress.com
http://redphanfa2day.wordpress.com
http://liberalthai.wordpress.com,
http://asiapacific.anu.edu.au/newmandalahttp://www.notthenation.com,
http://wdpress.blog.co.uk,
http://www.youtube.com/user/iheredottv,
http://redsiam.wordpress.com,
http://siamrd.blog.co.uk,http://thaienews.blogspot.com,
http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com,
http://thaiuknews.wordpress.com,
http://redphanfa2day.wordpress.com,
http://liberalthai.wordpress.com,
http://lmwatch.blogspot.com/ศูนย์ข้อมูลและเฝ้าระวังกรณีผลกระทบจาก"กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"และข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง,
http://horriblethailand.wordpress.com/category/red-songs,
http://www.filmint.nu
http://filmjournal.net/kinoblog